ข่าวทีวี กับสิ่งที่ซุกใต้พรม | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

กิจวัตรประจำวันของผมช่วงหัวค่ำถ้าไม่ได้ไปงานเลี้ยงนอกบ้าน คือการนั่งรับประทานอาหารเย็นอยู่ที่โต๊ะอาหารภายในบ้านของตัวเองพร้อมกับดูโทรทัศน์เพื่อรับฟังข่าวสารต่างๆ

ผมใช้เวลาช่วงนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่หนึ่งทุ่มไปจนถึงสองทุ่มเศษ กินข้าวไปพลางดูข่าวไปพลาง

สถานีโทรทัศน์ช่องที่ผูกปิ่นโตกันไว้เป็นประจำ คือสถานีไทยพีบีเอส พูดจากันตามประสาลำเอียงก็ต้องบอกว่าเนื้อหาข่าวที่เขานำเสนอดูจะตรงกับจริตของผมมากกว่าช่องอื่น

ช่องอื่นบางช่อง ข่าวประเภท “ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก” ข่าวเดียวล่อไปเสียยี่สิบนาที ยิ่งถ้าเป็นข่าวใต้เตียงดาราแล้ว รายงานละเอียดยิบเสียครึ่งชั่วโมง

ผมไม่เคยอยู่ใต้เตียงใครนานขนาดนั้น อึดอัดจังเลยครับ ฮา!

 

เมื่อวันวานนี้ผมก็ประพฤติตนตามกิจวัตรดังกล่าวข้างต้น สถานีไทยพีบีเอสรายงานข่าวสองเรื่องต่อเนื่องกัน เรื่องแรกดูเหมือนเหตุจะเกิดขึ้นที่จังหวัดระนอง

เรื่องมีอยู่ว่าเด็กที่เป็นเด็กชาติพันธุ์มอร์แกนที่จังหวัดนั้นมีความยากลำบากมากในการเดินทางไปเรียนหนังสือในแต่ละวัน เพราะต้องข้ามน้ำจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง โดยมีซากสะพานที่สร้างไม่เสร็จยืนเด่นเป็นสง่าแต่ใช้การไม่ได้อยู่ตรงนั้นเอง

เด็กต้องถ่อเรือถ่อแพ แล้วไปหารถหรือยานพาหนะอีกทอดหนึ่งเดินทางไปยังโรงเรียน

ทำอย่างนี้ทั้งขาไปขากลับ เสียทั้งเวลาและเสี่ยงภัยในแต่ละวัน

ถ้าผมจำไม่ผิด สะพานที่ว่านั้นลงมือสร้างค้างคาไว้ตั้งแต่พุทธศักราช 2557 นี่ก็ครบสิบปีพอดี ควรจัดงานฉลองสะพานอายุครบ 10 ปีได้แล้ว

งบประมาณที่ใช้สร้างสะพานและสร้างไม่เสร็จแห่งนี้เป็นของทางราชการหน่วยหนึ่ง

จากการกินข้าวไปพลางดูข่าวไปพลางผมพอจับเค้าลางได้ว่า เป็นงบฯ ขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบพื้นที่ตรงนั้น

ส่วนเหตุที่สร้างไม่เสร็จเพราะว่าขณะกำลังก่อสร้างอยู่นั้นเอง กรมป่าไม้หรือกรมอุทยานฯ อะไรสักกรมหนึ่ง ซึ่งดูแลรับผิดชอบแผ่นดินตรงนั้นอยู่ บอกว่านี่เป็นการสร้างสะพานที่บุกรุกเขตป่าไม้หรืออุทยานฯ ดังกล่าว

ถ้าจะสร้างจริงก็ต้องมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและได้รับอนุญาตเสียก่อน

โย้กันไปเย้กันมา ตกลงเด็กชาวมอร์แกนของเราก็ต้องถ่อแพกันต่อไป เพราะผู้ใหญ่ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเสียที

เมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วนี้กลายเป็นที่สนใจขึ้นมาเพราะมีการรายงานข่าวในที่สาธารณะ จึงเกิดความตื่นเต้นสนใจขึ้นมา ในรายงานข่าวเมื่อค่ำวานนี้ผมได้ทราบว่าท่านผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ได้เดินทางไปในพื้นที่และกำลังหาทางแก้ไขปัญหาอยู่

อีกไม่ช้าไม่นานคงพอทราบความคืบหน้านะครับว่าผลจะออกมาอย่างไร

 

ข่าวเมื่อค่ำวานนี้อีกเรื่องหนึ่งตามมาติดๆ กัน เป็นข่าวเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินของเด็กนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ

โรงเรียนที่ว่านี้เป็นโรงเรียนขยายโอกาสจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 และเด็กนักเรียนจำนวนไม่น้อยเป็นเด็กนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เหมือนกัน การเดินทางไปมาจากบ้านมาโรงเรียนยากลำบาก

เด็กจำนวนมากจึงต้องนอนอยู่ที่โรงเรียน เรียกว่าเป็นนักเรียนประจำนั่นแหละ

นั่นแปลว่าเด็กต้องกินอาหารสามมื้อที่โรงเรียนเลยทีเดียว

ทางราชการจัดงบประมาณค่าอาหารให้เด็กแต่ละคน คนละ 30 บาทต่อมื้อ หมายความว่าหนึ่งวันก็ได้ 90 บาท ถ้าบริหารจัดการให้เข้าท่า เงินจำนวนนี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการหาข้าวปลาอาหารที่มีคุณภาพให้เด็กได้รับประทาน

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เด็กในโรงเรียนที่ว่านี้นำภาพอาหารมื้อกลางวันหรือมื้อเย็นที่ทางโรงเรียนจัดให้กินโพสต์ลงสื่อโซเชียล เป็นภาพข้าวอยู่ในถาดหลุม กับข้าวมีไข่ต้มหนึ่งฟอง และน้ำพริกตาแดงหนึ่งกอง

คราวนี้ก็กลายเป็นเรื่องตื่นเต้นขึ้นมา ทุกคนให้ความสนใจว่าเรื่องนี้มีนอกมีในอย่างไรหรือไม่ ผู้ใหญ่หลายคนหลายหน่วยที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนต่างให้ความสนใจและเข้ามาสอบสวนทวนความว่าเกิดอะไรขึ้น

ข้อที่สนุกยิ่งขึ้นไปกว่านั้นคือ รายงานข่าวบอกว่าท่านผู้บริหารโรงเรียนได้ไปแจ้งความกล่าวหาเด็กผู้โพสต์ข้อความว่าได้หมิ่นประมาทท่าน อันเป็นความผิดทางอาญาต้องลงโทษลงทัณฑ์กันให้น่าดูทีเดียว

ความเห็นของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเพียงแค่คำเดียวว่า เฮ้อ!

ครูแจ้งความให้จับเด็กนักเรียนผู้เป็นลูกศิษย์ของตัวเองนี่ ผมยอมแพ้จริงๆ ครับ

ไทยพีบีเอสรายงานต่อไปด้วยว่าหลังจากภาพข้าวกับไข่ต้มและน้ำพริกตาแดงเผยแพร่ทั่วไปแล้ว กับข้าวที่เด็กได้กินในแต่ละวันดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์ แกงจืดที่ต้องมีเนื้อไก่ก็มีเนื้อไก่ขึ้นมาอย่างจริงจัง ไม่ใช่วิญญาณไก่เหมือนอย่างเวลาเด็กนักเรียนรุ่นผมไปฝึกภาคสนาม ร.ด.ที่เขาชนไก่

 

นิทานสองเรื่องนี้มีอะไรคล้ายกันอยู่นะครับ

นั่นคือข้อสอนใจว่าในเมืองไทยของเรายังมีอะไรซุกอยู่ใต้พรมเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดระนอง จังหวัดทางภาคเหนือ หรือที่จังหวัดไหนๆ ก็แล้วแต่

เรื่องแรกนั้นเป็นปัญหาถาวรดั้งเดิมของเมืองไทย คือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น ระหว่างองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นกับกระทรวงทบวงกรมซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาค มีท่าทีเหมือนประหนึ่งว่าอยู่กันคนละประเทศ บ่อยครั้งที่พูดจากันผ่านกระดาษผ่านหนังสือ โดยไม่เคยนั่งโต๊ะเจรจาพูดคุยกันเสียที

ทุกคนถือกฎหมายคนละฉบับ คนละเล่ม นั่งอยู่คนละมุมเมือง สนุกดีครับ

แต่คนที่ไม่สนุกเลยคือประชาชน ไม่เชื่อไปถามเด็กมอร์แกนนั่นก็ได้

ในฐานะที่ผมเรียนกฎหมายมาบ้างเหมือนกัน ผมอยากจะออกความเห็นเป็นหลักการไว้ว่า กฎหมายนั้นเขียนหรือมีขึ้นเพื่อให้มนุษย์อยู่ด้วยกันได้ด้วยความสงบสุข ไม่ใช่มีขึ้นเพื่อให้มนุษย์ยากลำบาก

ปัญหาทุกอย่างไม่ยากเกินความสามารถในการแก้ไข ถ้าเรามีความตั้งใจจริงที่จะทำดังนั้น

ถ้ามีข้อติดขัดทางกฎหมายก็ต้องหารือกันอย่างจริงจังแล้วว่า เราจะก้าวข้ามข้อติดขัดนั้นไปได้อย่างไร ถ้าจำเป็นจะต้องแก้ไขกฎหมายก็ต้องทำครับ

กฎหมายไม่ใช่โองการศักดิ์สิทธิ์ของเทวดาจากบนฟ้าบนสวรรค์ มนุษย์สองแขนสองขาอย่างเรานี่แหละที่เป็นคนเขียนกฎหมายขึ้นมา ในเมื่อมนุษย์เขียนกฎหมาย มนุษย์ก็แก้กฎหมายหรือยกเลิกกฎหมายได้ตามเหตุผลความจำเป็นและสถานการณ์

ส่วนเรื่องที่สองนั้นเป็นปัญหาถาวรดั้งเดิมอีกชนิดหนึ่งของเมืองไทย คือปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่นหรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง ตามที่เนื้อข่าวรายงานมานั้น โน้มไปทั้งทางข้างบังหลวงนะครับ

สิ่งที่เราย่อหย่อนอยู่คือการตรวจสอบจากผู้ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นด้วยความไว้วางใจหรือข้อจำกัดอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นโรงเรียนหรือหน่วยงานที่อยู่ห่างไกลจากปืนเที่ยงแล้ว ดูประหนึ่งว่าเรามอบอำนาจให้ผู้บริหารหน่วยงานนั้นจัดการทุกอย่างได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยไม่มีใครไปสอดส่องดูแลได้

เดือดร้อนถึงเด็กที่กินข้าวกับไข่ต้มต้องรายงานข่าวเองล่ะ

ถ้าระบบของเราดีพอ คณะกรรมการสถานศึกษาก็ดี ชุมชนท้องถิ่นในละแวกนั้นก็ดี หรือใครต่อใครอีกหลายคนก็ดี น่าจะรู้เรื่องนี้ได้ก่อนเป็นข่าวในไทยพีบีเอส

พูดให้เป็นหลักการไพเราะคือ หลายมุมหลายที่ในบ้านเรายังขาดการบริหารแบบมีส่วนร่วม ขาดการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้จากสาธารณะ บ่อยครั้งที่ต้องรอให้เป็นข่าวใหญ่โตขึ้นมาเสียก่อนจึงจะมีคนไปช่วยกันพินิจพิจารณาปรับปรุงให้ดี

มื้อค่ำเมื่อวานนี้กับสะเดาน้ำปลาหวาน ปลาดุกทอดปลาดุกย่าง บนโต๊ะอาหารของผม แนมด้วยข่าวเรื่องสะพานสร้างสิบปีไม่เสร็จที่ระนองกับข่าวเด็กนักเรียนกินข้าวกับไข่ต้มที่ภาคเหนือ เป็นความผสมผสานที่ลงตัวกันแบบแปลกๆ

ถึงแม้จะไม่ใช่ข่าวประเภทที่ดูแล้วรื่นเริงบันเทิงใจ

แต่ดูแล้วก็ยังได้แก่นสารมากกว่าข่าวใต้เตียงเป็นอันมาก

จริงไหมครับ ช่องทีวีทั้งหลาย