ใจบันดาลแรงภาค 2 เดอะ รีเทิร์น ของ ‘ลุง’ ดวงเคลื่อน-ส.ว.ขยับ ‘บิ๊กทิน’ มีลุ้น ‘บิ๊กเล็ก-บิ๊กน้อย’ จ่อคิว

แม้บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะยืนยันว่า การนำคณะพรรคพลังประชารัฐสัญจรลงพื้นที่ ไม่ใช่การคัมแบ๊กสู่การเมืองเพราะไม่ได้ไปไหน และยังไม่ตายก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการขยับที่มีนัยสำคัญแวดล้อมไปด้วยบริบทต่างๆ

จากที่บอบช้ำเจ็บช้ำจากการเลือกตั้งที่แพ้พ่ายไม่เป็นไปตามคาด ได้แค่ 40 ส.ส. แถมคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ได้แค่คนเดียวคือตัว พล.อ.ประวิตร ที่ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อครั้งแรกในชีวิตและคนเดียวของพรรคพลังประชารัฐ

แถมทั้งเจ็บหนักจากการ ถูกคนกันเอง โดยเฉพาะน้องรักและน้องเลิฟ หักหลังจากการจัดตั้งรัฐบาล และถูกสมาชิกวุฒิสภาไปโหวตหนุน นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จน พล.อ.ประวิตรต้องเก็บตัวในบ้านป่ารอยต่อฯ เยียวยาแผลใจ

โดยได้ประกาศวางมือทางการเมือง ปิดบ้านป่ารอยต่อฯ และจะลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอย่างเดียว

จนที่สุด พล.อ.ประวิตร ก็ต้องออกโรงออกหน้ามาอีกครั้งหลังจากได้รับเสียงสะท้อนจากสมาชิกพรรคที่ต้องการให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกับอนาคตของ พล.อ.ประวิตรเอง และพรรคพลังประชารัฐ เป็นหัวหน้าพรรคต่อหรือเตรียมจะส่งมอบให้ทายาทอย่างบิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย ซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษาของพรรคอยู่ หรือจะส่งให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ยึดพรรค

อีกทั้งยังมีเสียงสะท้อนเข้าหู พล.อ.ประวิตร เรื่องตัว พล.ต.อ.พัชรวาท น้องชายสุดที่รัก ว่ายังไม่สามารถที่จะซื้อใจสมาชิกพรรค โดยเฉพาะ ส.ส.ได้ จากสไตล์การทำงานหรือบุคลิกที่เป็นคนไม่ค่อยพูด จนเป็นห่วงกันว่าบิ๊กป๊อดอาจจะพาพลังประชารัฐไปไม่รอด และจะเป็นโอกาสให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ยึดพรรค นั่งหัวหน้าพรรค ยึดเก้าอี้หัวหน้าพรรคไปในที่สุด

พล.อ.ประวิตร จึงต้องกลับมาแสดงบทบาทของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มตัวอีกครั้งหนึ่ง ในการลงพื้นที่เพชรบูรณ์ที่ผ่านมา พร้อม พล.ต.อ.พัชราวาท น้องรัก และ ร.อ.ธรรมนัส รวมทั้งแกนนำพรรค โดยปรากฏว่า พล.อ.ประวิตร ก็พยายามที่จะพูดคุย ชงน้องชายตลอด

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวด้วยเสียงจริงจังเข้มข้น ยืนยันจะไม่ไปร่วมกินข้าวกับพรรคร่วมหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลครั้งต่อไป โดยระบุว่าเพราะตนเองไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ให้ไปถาม พล.ต.อ.พัชรวาท เพราะเป็นหัวหน้า

เสมือนต้องการจะส่งสัญญาณว่า พล.ต.อ.พัชรวาท คือทายาทที่จะมาดูแลพรรคพลังประชารัฐที่ พล.อ.ประวิตร ตั้งขึ้นมา เป็นคนต่อไป

แต่ตอนนี้ด้วยความไม่พร้อมของน้องชายที่อาจต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ในการสร้างบารมีและปรับตัวให้เข้ากับการเมืองในสไตล์ของพรรคพลังประชารัฐ หรือยึดแนวทางของพี่ชาย ทำให้ พล.อ.ประวิตร ต้องทำหน้าที่นี้อย่างเต็มตัว โดยจะเห็นได้จากการเปิดบ้านป่ารอยต่อฯ 3 วันติดในช่วงปีใหม่ให้คนในทุกสาขาอาชีพมาอวยพร

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ และอีกหลายเหตุผลเพราะไม่ชอบการเมืองตั้งแต่ต้นและไม่อยากจะทำการเมือง จึงทำให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ถอดใจไม่อยากทำงานการเมืองต่อแล้ว ในส่วนพลังประชารัฐและพร้อมจะลาออกจาก รมว.ทรัพยากรฯ โดยแสดงความพร้อมที่จะลาออก ให้ พล.อ.ประวิตร หาคนมาแทน

ร้อนถึง พล.อ.ประวิตร ที่ต้องเกลี้ยกล่อมน้องชายให้อดทน และพยายามต่อไปก่อน ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ก็ต้องกลับมาดูพรรคเต็มตัวอีกครั้ง

และที่น่าจับตามองคือความกระชุ่มกระชวยและเหมือนมีแรงบันดาลใจอีกครั้งหนึ่งของ พล.อ.ประวิตร ในการกลับมาทำหน้าที่อย่างเต็มตัว ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ที่ผ่านมาที่ พล.อ.ประวิตร ต้องเงียบและลดบทบาทเพราะพระเกจิอาจารย์ หมอดูที่นับถือหลายคนดูตรงกันว่า พล.อ.ประวิตร ต้องอยู่เงียบๆ สักระยะหนึ่งจนถึงเดือนมีนาคม ดวงจะดีขึ้น

อีกทั้งในห้วงนั้นเป็นช่วงที่พึ่งบาดเจ็บอย่างหนักจากศึกเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลจนถูกมองว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แทบที่จะอวสาน และกำลังถูกเพ่งเล็งจากขั้วชินวัตรหลังจากมีข่าวสะพัดว่า พล.อ.ประวิตร และสมาชิกวุฒิสภาสาย พล.อ.ประวิตร พากันไปโหวตให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีจนเกิดรอยร้าว

แต่อย่างไรก็ตาม ในห้วงที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โดยมีคนต่อสายให้ แต่ก็ยังคุยอะไรกันไม่ชัดเจน

จนมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร พูดไว้ว่าเมื่อใดที่นายทักษิณได้กลับมาพักโทษที่บ้าน ก็จะไปพบพูดคุยกับนายทักษิณ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเป็นการเคลียร์ใจหรือทวงสัญญาใดกันหรือไม่

โดยมีการตั้งข้อสังเกตถึงความเคลื่อนไหวของสมาชิกวุฒิสภาในการล่ารายชื่อเพื่อยื่นอภิปรายรัฐบาล แม้ว่ารัฐบาลนายเศรษฐาจะเพิ่งทำงานมาแค่ 4 เดือนเท่านั้นก็ตาม จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

มุมหนึ่ง ก็ถูกมองว่า ส.ว.ชุดนี้ต้องการทิ้งทวนก่อนที่ตนเองจะหมดวาระไปในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 นี้ และส่งท้ายบทเฉพาะกาล

ถึงขั้นที่มีกระแสข่าวจากแวดวงบ้านป่ารอยต่อฯ ว่า พล.อ.ประวิตร ยังไม่อวสาน ยังมีลุ้นก่อนที่ ส.ว.จะหมดอายุและหมดอำนาจในการเลือกนายกฯ

พล.อ.ประวิตร เองก็หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะหลังจากที่เกิดอาการเส้นประสาททำให้ขาเดี้ยงเกือบเดินไม่ได้อยู่พักใหญ่ จึงตระหนักเรื่องสุขภาพเป็นสำคัญ และต้องการที่จะมีสุขภาพแข็งแรงทำงานการเมืองต่อได้

จึงตกลงใจที่จะควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก โดยมี พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม น้องรัก เป็นเทรนเนอร์ในการงดอาหารมื้อเย็น จนที่สุด พล.อ.ประวิตร ลดน้ำหนักไปได้ 14 กิโลกรัม ขณะที่ พล.อ.ณัฐ น้ำหนักลดถึง 16 กิโลกรัม

เหล่านี้ส่งผลให้ฝ่ายขั้วชินวัตร พรรคเพื่อไทย ดาหน้าออกมายืนยันว่านายเศรษฐาเป็นนายกฯ ตัวจริง แม้แต่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็ยังยืนยันว่ามีนายกรัฐมนตรีแค่คนเดียว รวมทั้งมีสายตรงจากแกนนำพรรคถึงสื่อหลายสำนัก ยืนยันว่าอดีตนายกฯ ทักษิณไม่เคยมีแนวทางให้นายเศรษฐาเป็นนายกฯ แค่ชั่วคราว แต่จะให้นายเศรษฐาเป็นนายกฯ ครบเทอม 4 ปี แล้วในสมัยหน้า น.ส.แพทองธาร จึงค่อยสู้ศึกเลือกตั้งและเป็นนายกรัฐมนตรี โดยใน 4 ปีนี้ให้เตรียมความพร้อมไปก่อน

เหมือนเป็นความพยายามที่จะสยบความหวังของฝ่าย พล.อ.ประวิตรที่หวังจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ที่ตอนนี้เปลี่ยนบริบท เปลี่ยนเพราะบรรดาแนวร่วมที่เคยเป็นสายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่างเห็นแล้วว่าส่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นฝั่ง ได้เป็นองคมนตรี แล้วเหลือ พล.อ.ประวิตร

ประกอบกับเริ่มมีการปลุกกระแสความไม่พอใจ ต่อเเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเทวดา หวังที่จะปลุกกระแส ปลุกม็อบเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจของนายทักษิณและขั้วชินวัตร ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย

จนมี ส.ว.บางคนถึงขั้นให้ความหวังกับ พล.อ.ประวิตร ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ในห้วงก่อนที่ ส.ว.จะหมดวาระ และสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐด้วย ซึ่งมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร อยากเจรจากับนายทักษิณเพื่อต่อรองเงื่อนไขนี้ ส่งท้ายชีวิตการเมืองของ พล.อ.ประวิตร ที่ถูกปรามาสว่าจบไม่สวย แตกต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ น้องชาย

จึงไม่แปลกที่พี่ใหญ่จะต้องกลับสู่สังเวียนการเมืองอีกครั้งแม้ว่าจะไม่พร้อม และหนักกว่าเดิม ถึงขั้นต้องนั่งรถเข็นในบางโอกาส

 

ขณะเดียวกัน หลังมีสัญญาณให้ 3 รมต.พรรคเพื่อไทย ลาออกจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมในพรรค เชื่อมโยงไปถึงการปรับ ครม.ในอนาคตอันใกล้

แม้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะให้เหตุผลการลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่า งาน รมต.ไม่มีเวลาทำงานในสภา และเปิดทางให้คนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เลื่อนลำดับขึ้นมาทำงานในสภา ทำหน้าที่ ส.ส.แทน ไม่ได้มีสัญญาณใดๆ จากผู้ใหญ่ของพรรคก็ตาม

แต่ก็ถูกตีความว่า มีสัญญาใจที่ทำให้ทั้ง 3 คนเป็น รมต.แบบถาวร ไม่ถูกปรับออกแน่นอน ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้บรรดา รมต.ที่เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ได้ถูกสะกิดให้ลาออก เริ่มหวั่นไหวว่าจะถูกปรับ ครม.สักวันในอนาคต จึงยังให้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อยู่

รมต.ที่เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่ไม่ได้ถูกสะกิดให้ลาออก จึงไม่ลาออก เพราะเกรงว่าเมื่อถูกปรับ ครม. จะได้ขาไม่ลอย ยังคงเป็น ส.ส.อยู่

แต่ก็ต้องนั่งเก้าอี้ รมต.แบบหายใจไม่ทั่วท้อง ว่าจะถูกปรับออกเมื่อใด เพราะสำหรับ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ลูกสาวกำนันป้อ ถือว่าเป็นบ้านใหญ่อีสาน เก้าอี้แน่นพอสมควร

ท่ามกลางการจับตามองไปที่นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ที่ก็เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ไม่ได้ถูกสะกิดให้ลาออก เพราะนายสุทินเองก็หวั่นไหวมาตลอด ว่าจะได้ไฟเขียวให้นั่งเก้าอี้สนามไชย 1 ไปนานแค่ไหน

เพราะเริ่มมีกระแสข่าวว่า นายสุทินมาเป็นแค่ รมว.กลาโหมขัดตาทัพ เพื่อสร้างภาพ รมว.กลาโหมพลเรือน ในรัฐบาลพลเรือน ที่มีนายกฯ พลเรือน ในห้วงแรกของการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วเท่านั้น แต่จะไม่ได้อยู่จัดโผโยกย้ายทหารใหญ่ปลายปี ที่ต้องเปลี่ยน ผบ.ทบ. และ ผบ.ทร. ที่จะเกษียณราชการ

เพราะมี รมว.กลาโหมตัวจริงรออยู่แล้ว โดยเป็นอดีตทหารเก่า อันเป็นผลจาก “ดีล” ระหว่างขั้วชินวัตร กับขั้วอำนาจ 3 ป. และสายอนุรักษนิยม โดยในเวลานั้นเป็นชื่อของบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ แกนนำ ตท.20 สายบิ๊กตู่ เป็น รมว.กลาโหม แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นชื่อของ นายสุทิน คลังแสง แล้วให้ พล.อ.ณัฐพลไปเป็นเลขานุการ รมว.กลาโหมแทน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าให้รอไปก่อน

เพราะตลอดเกือบ 4 เดือนที่มา พล.อ.ณัฐพล ก็ถูกมองว่าเป็นเสมือน รมว.กลาโหมเงา เพราะดูแลงานเอกสารทุกอย่าง รับทุกเรื่องแทนนายสุทิน ในขณะที่นายสุทินให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่เยี่ยมหน่วยทหาร ตรวจโครงการต่างๆ ตามนโยบายของกลาโหมและรัฐบาล รวมถึงการลงพื้นที่ในฐานะที่เป็น ส.ส.มหาสารคาม และ ส.ส.อีสานด้วย จึงไม่ได้มีเวลานั่งโต๊ะมากนัก จึงมอบหมายให้ พล.อ.ณัฐพล เป็นคนดูแลในเกือบทุกเรื่อง

โดยจะเห็นได้ว่าในห้วงแรกที่มาเป็น รมว.กลาโหม นายสุทินแวดล้อมไปด้วยทีมงานที่ถูกจัดวางตัวมาให้ทั้งเลขาฯ รัฐมนตรีกลาโหม และผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหม ทีมงานหน้าห้องที่ส่วนใหญ่ก็เป็นทหาร “หม่อมเป๊ป” พล.อ.ม.ล.สุปรีดี ประวิตร หัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหม

รวมถึงบิ๊กตุ่น พล.อ.อ.สุรพล พุทธมนต์ อดีตรอง ผบ.ทอ. (ตท.20) ก็มาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหม ท่ามกลางการมองว่ามีดีลที่มีบรรดาบิ๊กทหาร แกนนำเตรียมทหาร 20 เข้ามาประกบดูแลนายสุทิน

ในที่สุดนายสุทิน ต้องขอนายกรัฐมนตรีในการตั้งนายจำนง ไชยมงคล เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมเพิ่ม เพื่อมาช่วยดูแลเรื่องข้อกฎหมายและเป็นทีมงานส่วนตัวที่ลงพื้นที่ไปด้วยทุกแห่งด้วยเพราะมีความสนิทสนม เป็นเพื่อนกันมานาน

โดยจะเห็นได้ว่า นายสุทิน ก็ดึงทีมงานที่อยู่พรรคเพื่อไทยด้วยกันมาช่วยงาน เป็นทีมที่ปรึกษาอีกหลายคน รวมถึง ดร.ปณชัย แดงอร่าม รวมถึงการตั้ง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ มาเป็นโฆษกกลาโหมฝ่ายการเมือง

นอกจากนี้ยังมี เสธ.โอ๋ พ.อ.สราวุธ ชินวัตร หลานชายอดีตนายกฯ มาเป็นทีมฝ่ายเสนาธิการกลาโหมด้วย เพราะเป็นคนคล่องตัวในการประสานงานและการทำงาน เคยเป็นผู้บังคับหน่วยมา และมีคอนเน็กชั่นในบรรดายังเติร์ก ศิษย์เก่าวชิราวุธ ซึ่งเป็นคอนเน็กชั่นที่กำลังมาแรง

ขณะที่ พล.อ.ณัฐพล ยังคงถูกจับตามองว่า อาจจะได้เป็น รมว.กลาโหมในที่สุด ในขณะที่กระแสข่าวชื่อของบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ น้องรักของ พล.อ.ประวิตร ก็ยังคงมีชื่อเป็นแคนดิเดต รมว.กลาโหม หากมีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหน้า

เนื่องจาก พล.อ.วิชญ์ ก็ถือว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้องของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 ส่วน พล.อ.วิชญ์ เป็นเตรียมทหารรุ่น 11 ที่รู้จักกันมานานและเคยมีข่าวว่านายทักษิณเคยพิจารณาชื่อของ พล.อ.วิชญ์ เป็น รมว.กลาโหม ช่วงจัดตั้งรัฐบาลมาแล้ว แต่พรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร ไม่ต้องการเก้าอี้แล้ว รมว.กลาโหมจึงไม่ยอมเสียโควต้านี้ พล.อ.วิชญ์ จึงไม่ได้เป็น รมว.กลาโหม

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่แน่ว่าหากนายสุทินทำผลงานดี ก็อาจจะได้ตั๋วไปต่อตำแหน่ง รมว.กลาโหม เพราะห้วง 4 เดือนที่ผ่านมา นายสุทินก็ไปได้ด้วยดีกับกองทัพ โดยเฉพาะในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา นายสุทินก็ทำหน้าที่เสมือนกองทัพชี้แจงแทนในทุกเรื่อง

แต่ดูเหมือนนายสุทินก็รู้ตัวว่าเก้าอี้ รมว.กลาโหมของตนเองไม่มั่นคง จึงไม่คิดที่จะลาออกจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และพยายามที่จะสร้างผลงานทั้งเรื่องที่ดินให้ประชาชนเช่าใช้ประโยชน์ และการลดการเกณฑ์ทหาร นำไปสู่การยกเลิกเกณฑ์ทหาร และการลดจำนวนนายพลกองทัพ

เพราะคาดว่าในเวลานั้น นายทักษิณได้กลับมาอยู่บ้านในช่วงการลดโทษแล้ว และไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นายทักษิณเองก็จ้องมาที่กองทัพเป็นลำดับแรกๆ ด้วย

ดังนั้น จึงน่าจับตามองว่า นายทักษิณจะคืนกองทัพให้กับอำนาจสายอนุรักษนิยม ด้วยการเอาทหารเก่ามานั่งแทน หรือจะให้นายสุทินเป็น รมว.กลาโหมพลเรือน ขวางคอเช่นนี้เรื่อยไป แล้วซึมลึกจากการแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อสร้างอำนาจใหม่ในกองทัพ