ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 มกราคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
พูดกันตามตรง ไม่มีใครที่จะดีไปเสียหมด ปราศจากบาดแผลรอยด่างดำ ต่างก็มีด้านสว่าง ด้านมืดอันไม่พึงปรารถนาและเปิดเผย
เดิมทีเดียวสายมหาจำลอง ศรีเมือง มองเห็นด้านที่แหลมคมของ “ทักษิณ ชินวัตร” ถึงขั้นแอบหวังกันลึกๆ ว่าจะสามารถ “ปั้น” ให้เป็นทายาทธรรมนำพาขบวนธรรมทะยานสู่ความเติบใหญ่ในอนาคต
แต่ “ทักษิณ” เป็นดาวฤกษ์ไม่ใช่ดาวเคราะห์!
กว่า 2 ทศวรรษก่อน “ทักษิณ” คือตัวแทนคนรุ่นใหม่ เป็นนักธุรกิจดาวรุ่งที่ประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาค เป็นนักการเมืองที่มีจินตนาการ คิดแตกต่าง ไม่เหมือนใคร กล้าคิดใหม่ทำใหม่ และคิดการใหญ่ทางการเมือง
ทักษิณไม่ได้คิดว่าประเทศไทยเล็กเกินไป แต่มีขนาดเท่าฝรั่งเศส และใหญ่กว่าอังกฤษ มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีจำนวนประชากรมากพอ ถ้าได้รับการพัฒนาให้แกร่งกล้าทันสมัยจะรุดหน้าขึ้นชั้นเป็น “เสือ” ตัวหนึ่งในเอเชีย
ชนบทที่ล้าหลังไม่ได้รับการเหลียวแลกลายเป็น “เหมืองทองคำ” สำหรับทักษิณ ชาวนาที่ว่าเปรียบเหมือนกระดูกสันหลังของชาตินั้นจะไม่ได้เป็นแค่วาทกรรม “นโยบายทักษิณ” จะปลุกให้ทุกชุมชน หมู่บ้าน ตำบล “ตื่น” ขึ้นมาเปิดรับบรรยากาศการดำเนินชีวิตใหม่ๆ
ชั่วพริบตาการเมืองแบบทักษิณก็เป็นมากกว่าโวหารหรือการเล่นลิ้นของนักการเมืองแบบเก่าๆ พรรคการเมืองของทักษิณแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ทักษิณจึงได้ใจ และชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง
การเมืองไทยทำท่าว่าจะเหลือแค่ 2 ข้างหลักๆ เหมือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็น “พัฒนาการ” ปกติในระบอบประชาธิปไตย
แต่ที่ประเทศไทยไม่ใช่
ที่นี่ยังมีบรรดา “มาเฟีย” ซึ่งจะต้องรู้จัก “บริหารจัดการ” หรือ “หยั่งรู้” ความต้องการแล้วมีศิลปะในการจัดสรรแบ่งปันให้ลงตัว ซึ่งไม่ได้หมายความเฉพาะแต่ด้านผลประโยชน์ แต่อาจรวมถึงความเคารพนบนอบพินิบพิเทา
ท่วงทำนองที่ปราดเปรียวของทักษิณไม่ค่อยจะเข้าตากรรมการ คำพูดของทักษิณก็ไม่ค่อยจะเข้าหู เมื่อ “ขั้วตรงข้าม” ทางการเมืองจับมือกับบรรดามาเฟีย ด้านมืดของ “ทักษิณ” ก็เริ่มถูกตีแผ่
ความแตกต่างถูกบิดเบือนให้เป็นความแตกแยก ความรู้ที่ทันสมัยถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าที่ชวนให้ลุ่มหลงงมงาย ประชาชนถูกแบ่งฝ่าย แยกเป็นคนกรุงกับบ้านนอก เมืองกับชนบท เสื้อเหลืองกับเสื้อแดง
พรรคฝ่ายค้านกลายเป็นพรรคฝ่ายแค้น นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่ลงเลือกตั้ง พร้อมชักชวนผู้คนออกมาขัดขวางการเลือกตั้ง หลักการสับสน คนสับปลับ ก่อเกิดความอลหม่านขึ้นจนนำไปสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ปิดบัญชี”ทักษิณ”!
ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา คำว่า “ทักษิณ” นำมาซึ่งภัยพิบัติแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นลูกเมีย เครือญาติ เครือข่ายสายสัมพันธ์ เพื่อนพ้องน้องพี่บริวารว่านวงศ์กลายเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจรัฐ
การก่อรัฐประหารล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ไม่เคยที่จะถูกดำเนินคดีเอาผิด แต่ทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำของทักษิณเป็นร้ายไปหมด ยังแถมพ่วงด้วยคดีความมากมายหลายคดี
แต่หลังจาก 17 ปีล่วงผ่าน สถานการณ์ภายในประเทศเปลี่ยนไป “ทักษิณ” คนเดิมที่ไม่เหมือนเดิม (ปัจฉิมวัย) ก็เดินทางกลับไทยในเดือนสิงหาคม 2566 เพื่อรับโทษตามคำพิพากษา
ที่น่าอิจฉาตาร้อนสำหรับฝ่ายแค้นก็คือ ทันทีที่เสร็จสิ้นขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร “ทักษิณ” ก็ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ถูกจองจำในคุกแม้แต่คืนเดียว ทั้งในเวลาต่อมายังทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ก่อนที่จะมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยลดโทษให้จากจำคุก 3 คดี 8 ปี เหลือจำคุก 1 ปี
7 ธันวาคม 2566 ระเบียบใหม่ของราชทัณฑ์ มีผลบังคับใช้
นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ มีหนังสือเวียนแจ้งระเบียบใหม่ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ว่าด้วย การดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 กำหนดสถานที่คุมขังอื่นที่มิใช่เรือนจำ คือให้คุมขัง “ผู้ต้องขัง” ในสถานที่สำหรับอยู่อาศัย และสถานพยาบาลได้ โดยถือเป็นระยะเวลาจำคุก
ข้อนี้ทำให้ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถามนายกรัฐมนตรีในสภาว่า เหตุใดปล่อยให้กรมราชทัณฑ์ลักไก่ออกระเบียบให้นักโทษไปติดคุกที่บ้านเพื่อรองรับนักโทษชั้นพิเศษได้ ทำไมรัฐบาลปล่อยให้นักโทษบางคนเข้าคุกทิพย์มาแล้วกว่า 120 วัน ซึ่งยังไม่เคยติดคุกจริงเลยแม้แต่วันเดียว
แต่ความคมที่เหนือกว่าอยู่ที่คำตอบจาก “ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ได้ลุกขึ้นอธิบายความว่า กฎหมายนี้ของราชทัณฑ์มีมาตั้งแต่ปี 2560 (ยุคประยุทธ์เป็นนายกฯ) และระเบียบราชทัณฑ์ที่ว่านั้นก็ออกตามกฎกระทรวงปี 2563
“ที่นายจุรินทร์ไม่เห็นด้วยนั้นไม่รู้ว่าอยู่ประเทศเดียวกันหรือเปล่า อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกันหรือไม่ ราชทัณฑ์ไม่ใช่สถานที่ฆ่าคนหรือทรมานคน ใครเจ็บป่วยก็ต้องเอาออกไปรักษา ส่วนที่ว่า รักษานอกเรือนจำ 120 วันนั้นเป็นดุลพินิจของแพทย์หลายคน พร้อมกับมีการยืนยันจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน”
ชื่อทักษิณยังคงถูกหยิบฉวยมาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองทั้งด้านดีและด้านร้ายเสมอ
ก่อนหน้านี้มีนักการเมืองที่ยังคงเคืองแค้นบางคนพยายามจะรุกไปตรวจสอบถึง “ชั้น 14” อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ โดยที่ลืมไปว่า การรักษาตัวของผู้ต้องขังซึ่งถูกส่งตัวจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลนั้น แท้จริงแล้วพื้นที่นั้นก็กลายเป็น “เรือนจำ” ภายใต้กฎหมายราชทัณฑ์
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถรุกเข้าไปในพื้นที่เรือนจำได้เป็นอันขาด
“ทักษิณ” ถูกปู้ยี้ปู้ยำชนิดแสนสาหัสมา 17 ปี ครอบครัวลูกเมียเดือดร้อน ความเก่งกล้าสามารถชาญฉลาดปราดเปรียวทั้งปวงถูกสกัดกั้นบั่นทอน เกียรติภูมิถูกทำลาย และหลายประการก็เป็นการใส่ร้ายป้ายสี
ถึงวันนี้ “นักโทษชายทักษิณ” กลายสภาพเป็นเหมือน “ไข่ในหิน”!?!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022