ดอกไม้ของเด็กหญิงสดใส | เรื่องสั้น : กมล กุดโอภาส

เรื่องสั้น | กมล กุดโอภาส

ดอกไม้ของเด็กหญิงสดใส

 

ความจริงแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน บ้านของเขาก็อยู่หลังบ้านของผม และบ้านของสดใส หรือที่คนในหมู่บ้านเรียกแกว่าสด ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของเขามากนัก

สดใสจะได้รับการทักทายด้วยมิตรไมตรีของความรัก น่าเอ็นดู จากทุกคนที่ได้เห็นหน้าเธอ แม้เพียงเดินผ่าน จะโดยบังเอิญหรือไม่บังเอิญก็ตาม และแล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้รับรู้ว่า สดใสที่เป็นเด็กหญิงน่ารักน่าเอ็นดูนั้น มันหล่นหายไปด้วยน้ำมือของผู้ชายคนนี้ไปเสียแล้ว ใช่ล่ะดอกไม้ ดอกไม้ที่มีเวลาเหี่ยวเฉาร่วงโรย ต้องมาด่วนถูกเด็ดไปเสีย จะทำอย่างไรได้ แต่มันก็ด่วนถูกเด็ดไปเสียก่อน ผลิออกดอกบานไม่ทันไร ก็ด่วนเฉาไปจนได้ เฉาเท่านั้นนะครับ ไม่ถูกทอดทิ้งแต่อย่างใดเลย แต่ผมก็รู้สึกว่า มันน่าหดหู่ใจอย่างไรอยู่ ทั้งผู้ชายคนนี้และเด็กหญิงสดใส หลานสาวผู้น่ารักของผม

เป็นเช้าในยามฤดูฝน ที่ต้นกุหลาบที่หน้าบ้านของผมผลิบานเต็มที่ ดอกกุหลาบที่มีความหมายถึงความรัก ความสุข ต้นกุหลาบที่ผลิดอกและเหี่ยวเฉา ผลัดกันไปมาอยู่ทั้งปี เพราะผมรดน้ำให้มันทุกวัน เป็นกุหลาบสีแดง สีขาว ส่งกลิ่นหอม กลิ่นของมันโชยอ้อมไปถึงบ้านของสด ไปถึงบ้านของผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ผมรู้จักตัวตนที่แท้จริงแล้วว่า ลุงคนนี้เป็นลุงผู้ชายพิเศษ ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นอสรพิษ ต่อใครกับใครเข้าให้แล้ว ณ วันเวลานี้

ชาวบ้านบางคนเรียกเขาว่าอาว์อ่อย บางคนก็เรียกเขาว่าลุงเพลิน อันมีที่มาที่แตกต่างกัน กล่าวคือ คำว่าอ่อยเพี้ยนมาจากคำว่าเหลืองอ๋อย เพราะสีผิวของเขานั้น เหลืองคล้ำเหมือนขมิ้นโรยผงพริกไทย ส่วนคำว่าเพลินนั้น ลุงคนนี้เขาเป็นคนรักความเพลิดเพลิน สนุกสนาน หรือที่ชาวบ้านเขาว่ากันว่า เป็นคนมักม่วน ม่วนที่แปลว่ารักสนุกนั่นเอง

สดเป็นคนตื่นแต่เช้ามาแต่ไหนแต่ไร เสมอต้นเสมอปลาย ยิ่งเป็นวันที่จะต้องไปโรงเรียนด้วยแล้ว ยิ่งเช้าตั้งแต่ไก่ก็ยังไม่ขัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับแม่กับพ่อ แม่ต้องตื่นขึ้นมาหุงหาอาหาร งานบ้านงานเรือน ส่วนพ่อก็ต้องต้อนวัวต้อนควายออกไปที่ทุ่งนา ก่อนที่จะกลับมารับประทานอาหารที่แม่ตระเตรียมไว้ สดกินข้าวเสร็จแล้ว ก็สะพายกระเป๋านักเรียนไปขึ้นรถกับคุณลุง ผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่ ลุงคนนี้แกเป็นครูใหญ่ อยู่ที่โรงเรียนของสดนั่นเอง อีกทั้งหลังเลิกเรียน สดก็กลับบ้านพร้อมกับลุงคนนี้ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ หากไม่มีวันหยุด

ทุกเช้าทุกเย็น สำหรับวันที่สดใสต้องไปโรงเรียนและหลังเลิกเรียนนั้น แกจะต้องเดินผ่านหน้าบ้านของลุงอ่อยอยู่เสมอ แทบไม่เว้นวัน ผมเริ่มสังเกตเห็นนิสัยที่ไม่ดีของลุงอ่อยแล้ว ผมเห็นด้วยตาของผมเอง และได้ยินเขานินทากันไปทั่วหมู่บ้าน ฟังดูแล้วไม่เป็นสับปะรดจริงๆ

สิ่งที่ได้เห็นได้ยิน มันทำให้ความรู้สึกอ่อนไหว อันเป็นนิสัยส่วนตัวของผม ไม่สู้ดีเลยมาหลายวันแล้ว

 

หลายเช้าแล้วที่ผมยืนรดน้ำต้นกุหลาบด้วยความหดหู่แสน ความมั่นใจของผมมันละลายหายสิ้นไปแล้วกับสังคมทุกวันนี้ สังคมหมู่บ้านชนบท แล้วนี่สังคมในเมืองมันจะฟอนเฟะขนาดไหน คิดแล้วให้เวทนากับผู้คนเหล่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่นี่มันเกิดขึ้นที่หลังบ้านของผมเอง และเกิดขึ้นภายในหมู่บ้านชนบท หรือจะเรียกว่าบ้านไร่ชายทุ่งของผมเอง เหมือนเชื้อร้าย ที่มันใกล้กล้ำกรายเข้ามาในครอบครัวของผม ลูกของผม หลานของผม แล้วนี่มันจะไม่ลามไปถึงยายแก่ หรือภรรยาของผมเชียวหรือ จิตใจของผมมันฟุ้งซ่านไปทั่ว แทบอยากหัวเราะออกมาก็พอกัน แต่เสียงหัวเราะของผม มันคงระคนความขมขื่น แทบอยากร้องไห้เสียเต็มประดา

ระหว่างที่ผมรดน้ำให้ต้นกุหลาบ ที่วันนี้มันออกดอกสีขาว สีแดง บานสะพรั่ง ผมก็ฮัมเพลงของอารักษ์ อาภากาศ ไปด้วย

“…น้อยก็หนึ่ง น้อยก็ด้วย หัวใจบริสุทธิ์ วันคืนเปลี่ยนหมุนไป อย่างน่าสนใจ ทุกคนให้ หัวใจแสนบริสุทธิ์…”

ภรรยาของผมกำลังโชยกลิ่นพริก หัวหอม กระเทียม ออกมาจากห้องครัว หลวงพ่อวันกำลังเดินบิณฑบาตผ่านไป เธอกำลังเตรียมสำรับไปจังหันที่วัด ผมบอกภรรยาตั้งแต่กลางคืนแล้วว่า เช้านี้ผมจะไปใส่บาตรที่วัด

ผมต้องทำบุญมากๆ แล้วล่ะ เผื่ออะไรๆ ของชีวิตมันจะดีขึ้น ไม่ว่าเรื่องสุขภาพ หรือเรื่องของจิตใจ จิตใจที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ คือสิ่งที่ผมปรารถนา และอยากให้ทุกคนเป็นอย่างนั้น ผมชวนภรรยากับลูกสาวไปด้วย ลูกสาวบอกว่าต้องรีบไปทำงาน ภรรยาก็บอกว่า ให้ผมไปคนเดียวก็พอแล้ว

อธิษฐานจิตถึงฉันด้วยนะพ่อ

 

ดอกลีลาวดีหลายต้นที่หน้าศาลาวัดสวยงามมาก วันอาทิตย์สัปดาห์นี้ตรงกับวันพระ ผมขับรถกระบะไปวัด ด้วยจิตใจที่ประหวั่นพรั่นพรึง และห่วงหาสด ผมอยากใส่บาตรด้วยความคิดที่ว่า สดเอ๋ย เธออย่าเป็นอะไรไปเสียก่อนล่ะ ทำใจดีๆ ไว้ อย่าเป็นอะไรที่มันเสียหายมากไปกว่านี้ ผมมาถึงวัดก็เห็นสดนั่งอยู่กับแม่ก่อนหน้านี้แล้ว แกคงซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กับแม่มาวัดนั่นเอง

หลานสดของผมนั่งพับเพียบ อยู่ในอาการเหงาซึมผิดปกติ ส่วนแม่ของแกก็ยังยิ้มสดใสคุยกับเพื่อนๆ ญาติโยมของหลวงพ่ออย่างมีสัพเพเหระ

ดูจากบาตรที่ตั้งอยู่ ก็รู้ว่าวันนี้มีพระอยู่วัดแค่ 2 รูป ที่แน่ๆ มีหลวงพ่อวันด้วยรูปหนึ่ง พระอาจารย์ประวัติ ผู้เพิ่งบวชใหม่ได้ 2 พรรษา ผมไม่มั่นใจว่าท่านจะลงมาจากกุฏิหรือไม่

พระอาจารย์ประวัติเป็นอดีตข้าราชการครูเกษียณ เคยสอนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันกับโรงเรียนของสด วันนี้โยมภรรยาของท่านก็มาใส่บาตรเช่นเดียวกัน คุณยายภรรยาของท่านกำลังเรี่ยไรกับญาติๆ ร่วมวัดวันนี้ เพื่อการบริจาคทาน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของแกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

แกชื่อยายครู ยายครูคนนี้ก็เป็นอดีตข้าราชการครู สอนอยู่ที่โรงเรียนอีกแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กับโรงเรียนของสด แกรีไทร์หลังหลวงพ่อประวัติเกษียณไม่นาน แกบอกกับใครต่อใครว่า เหตุที่สามีของแกมาบวชนั้น อาจารย์ประวัติแกป่วยเป็นโรคหัวใจ ร่างกายผอมซูบผิดปกติ บางเช้าหลวงพ่อประวัติบอกกับหลวงพ่อวันว่า ไม่อยากลงไปที่ศาลาฉัน อยากนั่งวิปัสสนาสมาธิมากกว่า ซึ่งหลวงพ่อวันก็ตามศรัทธาของท่าน หลวงพ่อวันต้องลงมาศาลาฉัน รับญาติโยมเพียงลำพัง หรือบางวัน ก็มีพระบางรูปมาร่วมสมทบด้วย เปลี่ยนรูปอยู่เป็นประจำ หรือบางวันก็มีสามเณรอยู่ด้วย เปลี่ยนสามเณรอยู่บ่อยครั้ง

ครูใหญ่ ผู้เป็นลุงของสด วันนี้ก็มาใส่บาตรด้วย ผมสังเกตเห็นแกหันมามองสด ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยอยู่บ่อยครั้ง บางคราวแกก็สนทนาหัวเราะหัวใคร่กับญาติๆ ตามอัธยาศัยไมตรีที่ดีของเพื่อนบ้าน

ผมอยากบอกว่านับตั้งแต่วันที่ผมกับภรรยามาใส่บาตรวันแรก จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมไม่เคยเห็นลุงอ่อยมาที่วัดเลยสักครั้งเดียว มีแต่เพียงภรรยา ผู้เป็นพี่สาวของครูใหญ่ และมีศักดิ์เป็นป้าของสดเท่านั้น ที่มาใส่บาตรเป็นกิจวัตร

ป้าของสด (ภรรยาลุงอ่อย) กำลังจัดเตรียมสำรับกับข้าวเอาไว้ถวายหลวงพ่อ ใบหน้าของแกเงียบขรึมเหมือนคนเป็นโรค แต่มือไม้ไม่ว่างเว้นจากถ้วย ชาม แกค่อนข้างกุลีกุจอด้วยความละอายอย่างไรอยู่ เพราะเรื่องของสดได้ยินถึงหูแกแล้ว นับสัปดาห์หนึ่ง ที่ป้าของสดมาใส่บาตรด้วยความสงบเสงี่ยมในเรื่องของวาจา

บางครั้งแกก็หันมามองสดด้วยสีหน้าอายๆ แกคงอายแม้กระทั่งเด็กน้อย เด็กหญิงสดใส วัยประถมสี่

 

หลวงพ่อวันกับหลวงพ่อประวัติลงมานั่งบนอาสนะไม่นาน แม่ของสดก็เอ่ยขึ้น

“สวดมนต์สิลูก”

สดพนมมือสวดมนต์ด้วยแววตาที่เศร้าๆ สวดจบ หลวงพ่อวันก็ได้แค่ยิ้ม ด้วยความพออกพอใจในตัวของสด ใบหน้าอิ่มเอิบตามประสาพระที่เคร่งวินัย เคร่งวัตรปฏิบัติ ใบหน้าของท่านอิ่มผ่องเหมือนนวลกล้วย

ท่องบทสวดมนต์จบแล้ว สดก็ยังยิ้มไม่ออก แม่ของแกเข้าใจดีว่า สภาพจิตใจตอนนี้ของลูกนั้น จะทรุดโทรมขนาดไหน เธอหันไปมองพี่สาว ผู้เป็นภรรยาของลุงอ่อย อยากจะบอกว่า ทำไมสามีพี่ถึงเป็นคนอย่างนี้ เธอไม่เข้าใจเลย ผมนั่งจ้องหน้าหลวงพ่อวันเหมือนจะรู้ว่า ทุกคนในสถานที่นี้ คิดและรู้สึกเช่นไร อยากพูด แต่พูดไม่ออก มันน้ำท่วมปาก หลวงพ่อวันนั่งบนอาสนะได้ไม่นาน เหมือนกับการเพ่งกสิณอยู่ชั่วครู่ ครูใหญ่ ผู้เป็นลุงของสดก็สนทนาเป็นคนแรก

“พรุ่งนี้อาจารย์วันมีรถไปอยู่หรือครับ” ลุงคนนี้ของสดชื่อธุรการ ชาวบ้านเรียกแกว่า ผอ. (ผู้อำนวยการ) ธุ ยกมือพนมที่หน้าอกก่อนพูด ครูใหญ่มาวัดในวันนี้ด้วยชุด เสื้อยืดสีขาว ใส่กางเกงขาสั้นสีดำ

แกเป็นมัคนายกรุ่นก้นกุฏิของวัดป่าประจำหมู่บ้านของพวกผม พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ในศาลาฉัน ต่อหน้าหลวงพ่อวันและหลวงพ่อประวัติ ต่างรู้ดีว่า ตัวเองตั้งใจที่จะมาวัดป่ามากกว่าวัดบ้านด้วยเหตุผลกลใด ไม่มีใครกล่าวถึง ต่างรู้กันดีว่า หลวงพ่อวัน เจ้าอาวาสวัดป่า ด้วยวัยยังหนุ่มยังแน่น (พระหนุ่มแต่บวชได้หลายพรรษาแล้ว) มีความประพฤติทางสงฆ์ที่ดีอย่างไร

ครูใหญ่เคยบอกกับผมว่า หลวงพ่อวันท่านเป็นพระจริงๆ สมกับที่เรียกพระ นิสัยใจคอของท่านนั้น เหมือนคนฉันบุญฉันทาน แทนข้าวปลาอาหาร มีอยู่วันหนึ่ง ผมนึกอยากจะเดินชมบรรยากาศภายในวัด ซึ่งตั้งอยู่กลางวงล้อมของป่าเขา ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้น ดูร่มรื่นชื่นใจ สบายปอดดีอย่าบอกใคร เดินไปที่หลังกุฏิของหลวงพ่อวัน ผมก็ไปพบกับทางที่มีไว้ให้ท่านเดินจงกรม ผมเห็นรอยบาทของหลวงพ่อวัน ยาวเกือบ 20 เมตร

หลวงพ่อวันบรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่เรียนจบ ป.6 ก่อนที่จะอุปสมบทเป็นพระอีกต่อมา ตราบจนกระทั่งโยมแม่ของท่านอายุล่วงวัยจะเก้าสิบแล้ว โยมแม่ของท่านอยู่บ้านไกล นานๆ ทียายจึงจะมาใส่บาตรกับลูกชายครั้งหนึ่ง รถราก็ไม่มี เดินเหินก็ไม่สะดวกไปเสียทุกอย่าง แต่ถึงช่วงเข้าพรรษาทุกๆ ปี ยายแกจะมาอยู่กรรมกับหลวงพ่อวันตลอดถึงสามเดือน ด้วยทางบ้านไม่มีภาระใดๆ นี่หากยายจะมาได้ทุกวัน แกคงต้องมา ตามประสาโยมแม่ ผู้มีอานิสงส์จากลูกชายอย่างเต็มเปี่ยม

เป็นที่น่าเสียดายว่าโยมพ่อของหลวงพ่อวัน ไม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายตั้งแต่ท่านยังไม่อุปสมบท หลวงพ่อวันเล่าให้ฟังว่า แกป่วยเป็นโรคหัวใจเหมือนกับหลวงพ่อประวัตินี่แหละ โยมแม่ก็เล่าให้ฟังว่า แกคิดหนักและตรอมใจกับเรื่องบางอย่าง ซึ่งตอนนั้นลูกๆ ยังเด็กอยู่ ยังไม่รับรู้เรื่องราวของพ่อแม่มากนัก วันหนึ่งแกเข้าห้องน้ำ แล้วแกก็กุมหน้าอก คลานออกจากห้องน้ำ พลางครางโอยๆ บอกผู้เป็นภรรยาให้จัดหารถไปโรงพยาบาล ระหว่างการเดินทางแกก็สิ้นลมไปเสียก่อน

หลวงพ่อวันยังคงคิดถึงโยมพ่ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อธิษฐานจิตถึงแกอยู่ไม่ได้ขาด โยมแม่นั้นเล่า ก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตามประสาคนชราภาพ อยู่มิได้ขาด แต่สำหรับวันนี้ โยมแม่ของหลวงพ่อวันไม่ได้มาใส่บาตร มีแต่คำบอกเล่าจากหลวงพ่อ มาหลายวันแล้ว เท่านั้น ว่าท่านจะไปเยี่ยมโยมแม่ที่บ้าน เพราะได้ยินข่าวไม่สู้ดีนัก เกี่ยวกับหลานสาวผู้หายตัวไปอย่างลึกลับ และมีความตั้งใจที่จะกลับไปดูอาการของโยมแม่มาก่อนหน้านี้แล้ว

“ไม่มีล่ะ อาจารย์ธุ อาจารย์ว่างไหมล่ะ” หลวงพ่อวันตอบครูใหญ่

“อ้าว ตายล่ะ ผมก็ไม่ว่างด้วย” ครูใหญ่พูดด้วยความผิดหวัง พรุ่งนี้แกมีความตั้งใจจริงที่จะอยากจะขับรถไปรับส่งหลวงพ่อวัน เพราะในใจลึกๆ แล้ว แกก็อยากไปติดตามข่าวคราวของหลานสาวของหลวงพ่อวันด้วย

“ใช่ อาจารย์ อาจารย์ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่รึ เช้าวันจันทร์” ครูใหญ่ก็เลยถือโอกาสนี้คุยต่อ

“ยังเด็กยังเล็กอยู่เลยนะครับ หลานอาจารย์วันน่ะ”

“อายุก็เท่ากับสดใสนี่แหละ”

ครูใหญ่หันไปมองสดด้วยความเกรงใจในสภาพจิตใจของแก

“โธ่ ยังเด็กอยู่เลยนะครับอาจารย์” แล้วหลวงพ่อก็อธิบายพอคร่าวๆ

“ขึ้นสามล้อที่หน้าโรงเรียนก็หายตัวไปเลย ตำรวจเขาเช็กโทรศัพท์ดูแล้ว อยู่ที่ชลบุรีโน่น ไกลไหมล่ะ มันน่ากลัวนะโยม ชลบุรีตรงที่มีพัทยา ตรงที่ผู้หญิงขายตัวเยอะๆ นั่นแหละ น่ากลัว ตำรวจที่ชลบุรีเขาก็บอกให้รอ จะสิบวันแล้ว ยังไม่มีข่าวอะไรเลย น่ากลัวมากๆ อาจารย์ธุ”

“เอ้า ญาติโยมรับพร” หลวงพ่อวันสรุป ทุกคนก็หมอบกราบลงบนผื่นเสื่อ หลวงพ่อทั้งสองเริ่มสวดยถา ตามต่อด้วยบทสัพพี สวดจบ ทุกคนในศาลาฉันก็สาธุขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่จะกราบสามจบ เป็นอันเสร็จพิธีใส่บาตรตอนเช้า (จังหัน) เหมือนเช่นทุกครั้ง

 

สดม้วนผืนเสื่อไปเก็บหนึ่งผืน ไม่พูดจาอะไรสักคำเดียว ก่อนหน้านี้ เวลาที่สดกับแม่มาใส่บาตรจะพูดคุยกับหลวงพ่อวันอย่างเป็นกันเอง คุยกันเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง สัพเพเหระ หยอกเอินกันเหมือนลูกหลาน ดูเหมือนว่าหลวงพ่อจะพอใจในตัวสดใส เหมือนชาวบ้านทั่วไป เพราะสดนั้นเป็นเด็กหญิงที่หน้าตาดี นิสัยน่าเอ็นดูเกินกว่าเด็กหญิงภายในหมู่บ้านคนอื่นๆ ซ้ำแกยังเป็นเด็กนักเรียนที่เอาใจใส่ในการเรียนอีกด้วย เรื่องนี้ครูใหญ่เคยเล่าให้ใครต่อใครได้ฟัง

ผมนั่งยองๆ กรวดน้ำ ที่โคนต้นลีลาวดี ดอกลีลาวดีร่วงเกลื่อนเต็มพื้น สดกับแม่ก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์วิ่งออกจากวัดไป โดยไม่ได้พูดคุยกับใคร เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ภรรยาของลุงอ่อยก็อยู่ที่โรงทาน พากันส่งเสียงโฉ่งฉ่าง ยายครูก็ขับรถเก๋งคันงามออกจากวัดไป หลังจากออกมาจากโรงทานได้ไม่นาน สนทนากับญาติมิตรเล็กน้อย พอได้อัธยาศัยไมตรี

ผมเดินกลับขึ้นไปบนศาลาวัด ครูใหญ่กำลังสนทนาอยู่กับหลวงพ่อวันตามลำพัง เรื่องอะไรนั้น ผมก็ได้ยินไม่ถนัดนัก แต่ผมเข้าใจว่า คงเป็นเรื่องราวของสดกับลุงอ่อยนั่นแหละ และมันก็เป็นจริงเมื่อผมเดินเฉียดเข้าไปกราบไหว้พระประธาน ตามแบบฉบับการมาใส่บาตรของผมทุกครั้งก่อนที่จะออกจากวัด เป็นเช้าที่แม้ท้องฟ้าจะแจ่มใส แต่บรรยากาศภายในศาลาก็อึมครึม ต่างคนก็สงบเสงี่ยมเจียมตัว ไว้ท่าไว้เชิงกันอย่างยิ่ง

หลานสาวของหลวงพ่อวัน ซึ่งเป็นลูกของพี่สาวท่าน ตกอยู่ในสภาวะขีดอันตรายเข้าให้แล้ว การหายตัวไปของแกสร้างความทุกข์หนาสากรรจ์ให้แก่ญาติมิตรพี่น้องจนแทบลมจับ ไม่เว้นแม้แต่หลวงพ่อวัน ผู้อยู่ในศีลกินในธรรมมานับสิบกว่าพรรษา กระนั้นก็ไม่วายเหมือนตกนรกทั้งเป็น พอกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสดใส หลานสาวผู้ที่ท่านพอใจในตัวแกนักหนา สดได้รับความอุปการคุณจากท่านด้วยดีเสมอมา เสมือนว่าเป็นลูกของท่านแท้ๆ ถึงแม้ท่านจะห่มผ้าเหลืองเป็นพระเคร่งปฏิบัติธรรมก็ตาม สดก็เป็นเด็กหญิงพรมจรรย์ที่ขาวสะอาด บริสุทธิ์ แต่ทุกวันนี้ แกหม่นหมองลงไปมาก

“โทรศัพท์หลานหลวงพ่อ ตำรวจบอกว่าไปโผล่ที่ชลบุรีโน่น เดี๋ยวนี้กำลังประสานกันอยู่ ที่นี่กับที่ชลบุรี” ยายครูทบทวนคำพูดของหลวงพ่อวัน เจตนาให้ทุกคนรับรู้โดยทั่วถึงกัน

“คงอีกไม่นานหรอกครับ ตำรวจระยองคงหาเจอ แจ้งเบาะแสไปทั่วจังหวัด ทั่วด่านแล้ว ไม่ใช่หรือครับ” ครูใหญ่พูดเหมือนปลอบใจ

“อย่างสดนี่ก็เหมือนกัน ทำไมไม่แจ้งตำรวจเสียล่ะ” หลวงพ่อวันพูดด้วยเสียงราบเรียบ

“ไม่หรอกครับอาจารย์ พวกเราออมชอมกันได้ ครอบครัวของพวกผมน่ะครับ ไม่เป็นไร คุยกันได้ แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีกก็แล้วกัน คราวนี้ผมจับแน่ โธ่ สดใส”

“บาปกรรมแท้ๆ ผอ.ธุ”

“ยังดีครับ อาจารย์วัน ไม่เลยเถิดมากไปกว่านี้” ครูใหญ่พูดเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่จะก้มกราบและอำลาหลวงพ่อวัน จากมาด้วยสมาธิของจิตที่ฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา หลวงพ่อจะเป็นอย่างนี้ไหมหนอ ท่านแก่กล้าทางการเดินจงกรม เดินเพื่อให้สมาธินั้นนิ่ง สงบ ท่านเคยบอกกับผมว่า ท่านชอบการเพ่งสมาธิ ตั้งจิตอันแน่วแน่ ด้วยการเดิน มากกว่าการนั่ง หลวงพ่อวัน ท่านมีสมาธิจิต ที่แสดงออกมาทางกิริยาวาจาได้อย่างดีเยี่ยม มั่นคง ถึงแม้ท่านจะห่วงหาหลานสาวเพียงใด สุดท้ายแล้ว ท่านก็ได้แต่กล่าวเป็นประโยคสุดท้ายทุกครั้งว่า “อนิจจา”

ผมคิดว่าการหายตัวไปอย่างลึกลับของหลานสาวหลวงพ่อวัน มันทำให้อารมณ์ความรู้สึกของผมยิ่งแย่ขึ้นไปอีก หลังเลิกเรียนวันนั้น หลานสาวของหลวงพ่อหายตัวไป ไม่มีข่าวคราวความคืบหน้า จนกระทั่งบัดนี้ สภาพจิตใจอันดีงามของสดก็หล่นหายไป ด้วยความยำเกรงและเก็บกดของแก ทำให้เป็นความลับมานาน จนกว่าชาวบ้าน ผม แม่ของแก ครูใหญ่ หรือแม้กระทั่งภรรยาของลุงอ่อยเองก็ตาม จะได้รับรู้ ต่างคนจะเสียใจเพียงใด เสียความรู้สึกขนาดไหน และผิดหวังในตัวบุคคลเท่าใด ไยต้องเป็นถึงเพียงนี้

นอกเหนือไปจากต้นลีลาวดีแล้ว อีกฝั่งตรงข้ามยังมีแปลงต้นกุหลาบ ทั้งบานทั้งเฉา กุหลาบขาว กุหลาบส่งกลิ่นหอมอบอวล หลวงพ่อประวัติฉันเสร็จแล้ว ก็ถอดจีวรมารดน้ำต้นกุหลาบ ส่วนหลวงพ่อวันก็หันมากวาดตาด (กวาดลานวัด) ด้วยความขะมักเขม้น ผมนั่งยองๆ พนมมือพูดคุยกับหลวงพ่อประวัติ ฟังท่านกล่าวกับผม ก่อนที่ผมจะขอลากิจธุระการใส่บาตรและสตาร์ตรถกลับบ้าน ด้วยความหม่นหมองใจ ท่านกล่าวว่า

“โยมทำใจเถิด มันเป็นเรื่องธรรมดาของทางโลก แต่อาตมาจะช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง ไม่เป็นไร ขาดเหลืออะไร ทางวัดป่าบ้านเราจะเป็นต้นทุน สำหรับการติดสาวราวเรื่องในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสดใส หรือหลานสาวของอาจารย์วันเอง ทุกคนเป็นห่วงเป็นใยเสมอ อาตมาอยากบอกว่า สมัยอาตมายังรับราชการอยู่นั้น อาตมายิ่งเคยใกล้ชิดกับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย พวกเขาก็เคยเจอปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน แต่สำหรับการหายตัวของหลานสาวอาจารย์วันนั้น เป็นเรื่องที่อันตรายร้ายแรงจริงๆ เสียยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสดใสเป็นร้อยเท่า อย่างไรก็ตาม ขอให้โยมได้รับกุศลกรรมที่โยมได้ก่อไว้ มาตลอดหลายปี ขอให้โยมอุทิศส่วนกุศลนี้ ด้วยใจที่สงบเงียบ อย่าไปร้อนอกร้อนใจมากไปกว่านี้นะโยม ทำใจดีๆ ไว้ ทุกปัญหาสามารถแก้ได้ ขอให้โยมเข้าใจนะว่า อาตมากับโยมครูเคยเป็นครูมาก่อน อาตมาเคยพบเคยเห็น และเข้าใจปัญหา เอาล่ะทุกคนจะช่วยกันแก้ ปัญหามีไว้ให้แก้ แต่เราต้องแก้ด้วยหลักการของธรรมะที่ดี หลักธรรมจะช่วยพวกเราได้มาก ทั้งอาตมา อาจารย์วัน หรือโยมพ่อแม่ทั้งหลายนั่นแหละ อาตมาเข้าใจนะโยม ทำใจดีๆ ไว้ เออ อาตมาขอร้องล่ะ เรื่องของสดใส อย่าไปตีโพยตีพายกับใครเขา อย่าไปกระโตกกระตากมากไปกว่านี้ ฝากบอกทุกคนด้วย โยมเองก็เถอะ บ้านก็อยู่ติดกัน ขอให้โยมใช้หลักขันติอุเบกขาข่มไว้นะโยมนะ เอาล่ะหลวงพ่อสัญญา สัญญาแทนหลวงพ่อวันด้วยอีกแรงหนึ่ง ว่าสดใสจะกลับมาเป็นเด็กที่ร่าเริง แจ่มใสอีกครั้ง ในเร็ววันนี้”

“ครับ หลวงพ่อประวัติ” ผมกลับบ้านด้วยความซาบซึ้งในแก่นธรรม พยายามปลดปล่อยความเป็นทุกข์ ความเป็นกังวลให้หายไป

แต่ใจลึกๆ แล้ว เมื่อพูดถึงศีลธรรม ทุกคนที่มาใส่บาตร จะมีศีลธรรมอยู่ในใจมากน้อยเพียงใด ซึ่งผมสุดจะคาดเดา

 

กลับมาถึงบ้าน ผมก็เห็นลุงอ่อยกำลังขับรถออกจากบ้าน ทุกวันนี้ แกกำลังหารายได้จากการตัดไม้ไปส่งขายที่โรงป่น เป็นโรงงานทำกระดาษในตัวจังหวัด โรงงานกระดาษที่เคยมีข่าวกันครึกโครมไปทั่วประเทศว่า โรงงานแห่งนี้ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำสายใหญ่ในจังหวัด จนน้ำเน่าและปลาตายเต็มอยู่ฟูฟ่อง ทั้งๆ ที่เจ้าของโรงงานก็รู้อยู่แก่อกแก่ใจว่า การปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำลำคลองนั้น มันจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาขนาดไหน แต่สักพัก ข่าวก็เงียบหายไป โดยไม่ทราบสาเหตุ

ผมเห็นกับตา และได้ยินเสียงเต็มหู ในเช้าวันนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า แล้วเมื่อก่อนผมมัวทำอะไรอยู่หรือ เกือบหายไปแล้ว พยานหลักฐานของผม มันจะเป็นภาพและเสียงที่แจ่มชัด ในจิตสำนึก มโนธรรม มโนภาพ มัดใจของผมได้อย่างเหนียวแน่น ผมบอกกับตัวเองอีกว่า ผมต้องคุยกับสด ต้องคุยกับแม่ของแก ต้องคุยกับครูใหญ่ ผู้เป็นลุง แต่สำหรับคนหนึ่ง ที่ผมจะไม่เอื้อนเอ่ยเรื่องนี้กับแกเลย คือป้า ภรรยาของลุงอ่อย ผมต้องหาโอกาสเจรจากับสดและแม่ของแกให้ได้ในเร็ววัน ผมคงวางเฉยไม่ได้แน่ เรื่องพรรค์นี้ มันถึงขีดอันตรายเสียแล้ว ก่อนที่อะไรต่อมิอะไรจะเลวร้ายมากไปกว่านี้

“เกิดมานานแล้วหรือสด ลุงขอถามหน่อย” ผมพูด สดยิ้มใบหน้าเรียบเฉยแล้วพูดว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่เป็นอะไรมาก” แม่ของสดคะยั้นคะยอให้แกเล่าต่อ

“เล่าสิสด เล่าไปเลย เล่าให้คุณลุงเขาฟัง มันจะบานปลาย สดต้องเล่านะ แม่กับคุณลุงต้องไปปรึกษาลุงธุด้วย”

“เป็นปีแล้วค่ะคุณลุง” สดบอกผม ใจผมเองแทบหล่นวูบ

สดเล่าสู่ผมฟัง พอจับใจความได้ว่า ทุกเช้าที่สดจะเดินไปหาครูใหญ่ เพื่อขึ้นรถไปโรงเรียนกับแก เวลาเดินผ่านหน้าบ้านของลุงอ่อย ซึ่งต้องผ่านหลังบ้านของผม ลุงอ่อยคนนี้จะเดินมาโอบกอด ทักทาย ลูบคลำตามร่างกาย ซ้ำร้ายยังหอมแก้ม แทบจะจูบปากสด อยู่เป็นประจำ นี่ไม่ใช่การหยอกเอินกันเล่นๆ

เป็นการกระทำโดยเจตนา มิน่าเล่า พักหลังมา ดอกกุหลาบสีขาวที่หน้าบ้านของผมถึงเหี่ยวเฉาเร็วผิดปกติ ดอกกุหลาบสีแดงกลับสีแดงเข้มสดยิ่งกว่าเดิม •