ศิลา โคมฉาย : ให้ปีใหม่สุขใจ สุขกาย

คอลัมน์แตกกอ-ต่อยอด


ถือเป็นมงคลฤกษ์ สวัสดีปีใหม่ครับ

ถึงเวลาก้าวสู่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ก็ต้องถือเป็นโอกาส ส่งความปรารถนาดี อวยพรให้ทุกท่านนะครับ

สุขภาพดี มีกำลังใจ กำลังกาย มีความสุข สบาย มากมายกว่าที่คิด หวัง

เป็นปีใหม่แรก ที่ผมพลิกดูเอกสาร สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ดูที่มาที่ไปแบบเป็นทางการ

เขาว่า แต่ก่อนแต่ไร ชาวไทยเราเริ่มการขึ้นปีใหม่ 3 ระยะ

ปีใหม่ทางจันทรคติ เริ่มที่วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5

ปีใหม่ตามเกณฑ์จุลศักราช ในราววันที่ 13 เมษายน อย่างที่ทราบกันว่าเป็นประเพณีสงกรานต์ นักษัตรฤกษ์ 3 วัน วันแรกเป็นวันสงกรานต์ วันที่สองเป็นวันเนาว์ และวันที่สามถือเป็นวันเถลิงศก

ปีใหม่ตามสุริยคติ คือวันที่ 1 เมษายน ซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2432 ในสมัยรัชกาลที่ 5

ต่อมารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย เห็นว่าควรเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสากลนิยม จึงปรับเปลี่ยนให้ใช้วันที่ 1 มกราคม มาตั้งแต่ปี 2484 ตามประกาศลงวันที่ 24 ธันวาคม 2483

เนื้อนัยประกาศนั้นว่า นานาอารยประเทศทั้งปวง ตลอดถึงประเทศใหญ่ๆ ปลายทางบูรพาทิศนี้ นิยมใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นต้นปี

มิได้เกี่ยวกับลัทธิ ศาสนา จารีต ประเพณี หรือการเมือง

แต่เป็นการคำนวณโดยวิทยาการทางดาราศาสตร์ และนิยมใช้กันมากว่าสองพันปี

เมื่อประเทศไทยได้นิยมถือสุริยคติ ตามอย่างนานาประเทศแล้ว ก็เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นต้นปี เหมือนอย่างประเทศทั้งหลาย

“อนึ่ง ได้มีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติ ปีประติทิน พุทธศักราช 2483 โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน พุทธศักราช 2483 และพระราชบัญญัติก็เป็นอันใช้ได้ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2483

เป็นอันว่า ทางรัฐนั้นได้ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มปีใหม่แล้ว”

พระบรมราชโองการนี้ โปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ คณะสงฆ์และอาณาประชาราษฎร์ นิยมวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ให้ถือเป็นจารีตประเพณีของชาติ

วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็นเวลารุ่งอรุณแห่งชาติ

ให้ชาติไทยได้รับความเจริญและก้าวหน้าขึ้นสู่ความรุ่งโรจน์ใหญ่หลวง อาณาประชาราษฎร์ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข

และเราก็ได้เฉลิมฉลองปีใหม่พร้อมๆ กับชาวโลก

 

กับย่างก้าวเข้าปีใหม่ ผมคิดว่าแต่ละท่านคงได้รับ และตระเตรียมคำอวยพรกันมาพอสมควร

ความปรารถนาดีที่มีต่อกัน ให้ความพึงพอใจ เป็นกำลังใจ กระทั่งอาจเป็นแรงบันดาลใจ แต่คงไม่ใช่ความสุขสำเร็จรูป ที่สามารถจับยัดใส่ห่อของขวัญ เปิดออกแล้วมีความสุขตลอดปี ตลอดไปตามคำอวยพร

พรพวกนั้นขอให้มีความสุข คงหมายถึงเป็นแรงกระตุ้น ให้คนรับสร้างสุขขึ้นมาด้วยตนเอง

และความจริงก็ต้องเป็นเช่นนั้น

ปีใหม่ปีนี้จักเป็นปีแห่งความสุข เมื่อเรารู้ว่าทางกายภาพสารแห่งความสุขในร่างกายคนมีอยู่ 3 ตัว

วีโรโทนิน ฮอร์โมนที่มีผลต่อความมั่นคงทางอารมณ์ ป้องกันโรคซึมเศร้า

เอ็นดอร์ฟิน ทำให้รู้สึกดี ลดความกังวล รวมถึงความเจ็บปวด

อีกตัวคือโดปามีน ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกสดชื่นกระฉับกระเฉง

หมอเขาว่า สารแห่งความสุขพวกนี้จะหลากหลั่งเมื่อออกกำลังกายสม่ำเสมอ ครั้งละ 30 นาที เมื่อรับประทานอาหารจำพวกน้ำตาล ไขมัน และจำพวกที่มีคอเลสเตอรอลในระดับพอเหมาะ

แค่กินปลา นม กล้วย ถั่ว ฯลฯ

ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวในแดดเช้าเป็นประจำราว 20 นาที จะเดิน จะวิ่ง ขุด ตัก ปัดกวาด คราด เช็ดล้าง พรวนดิน รวมไปถึงการนวดตัว ซึ่งลดสารคอร์ติโซน ฮอร์โมนแห่งความเครียดลงได้ไม่น้อย

รวมถึงการฝึกหายใจคลายเครียด จัดการกับอารมณ์ เป็นที่มาของความกังวล โกรธ กลัว

ร่างกายที่ผ่อนคลายย่อมพร้อมจะเปิดรับความสุข

 

ปีใหม่จักเป็นปีแห่งสุข ก็ต่อเมื่อจิตใจได้รับการพัฒนาสู่ความเจริญ

กำลังใจที่ไหลหลั่งมาจากมวลมิตร ผู้อันเป็นที่รัก เคารพนับถือ ย่อมถ่ายเทพลังให้สำหรับใจที่พร้อมจะยกระดับตนเองสู่ความมีพลัง

จิตใจเช่นนั้น ต้องไม่ใช่อ่อนเละเหลว หลากไหลไปตามอารมณ์ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น

จิตใจที่ห่างจากความงมงาย เพราะความปักใจเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง ที่ไม่มีเหตุผลรองรับ

ไม่อาจแยกแยะเหตุผลจริง กับข้ออ้างนานาออกจากกัน

ใจอันมีกำลังต้องผ่านการฝึกฝน พัฒนามาเป็นอย่างดี ปลอดการครอบงำจากอำนาจด้านมืด คือหมกมุ่นอยู่กับความใคร่ ความคับแค้นพยาบาท ความฟุ้งซ่าน หวาดระแวง สงสัย ความเดือดเนื้อร้อนใจ

สิ่งเหล่านี้จะขัดขวางทางพัฒนา เพื่อผ่านไปสู่ ความรู้สึกผิดชอบ ความกล้าหาญ หนักแน่น อดทนขยันขันแข็ง

สู่ใจซึ่งมีความสงบ และผ่อนคลาย