วัย-ลืม-เลือน | เรื่องสั้น : พิชญ อนันตรเศรษฐ์

เรื่องสั้น | พิชญ อนันตรเศรษฐ์

วัย-ลืม-เลือน

 

สิ่งแรกที่เธอลืม คือการออกจากบ้าน

มันไม่เคยเป็นกิจวัตรที่เธอยึดมั่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอมักจะกล่าวต่อใครต่อใครเสมอ ว่าโลกภายนอกนั้นมันแสนวุ่นวาย ถ้ามีแววตาสงสัยหรือไม่เข้าใจมองกลับมา เธอไม่คิดที่จะอรรถาธิบายถึง “ความวุ่นวาย” ที่เธอพยายามจะสื่อ เธอเลือกชุดคำพูดที่สองเอามาใช้เสมอ นั่นคือ เพราะอากาศร้อน

เป็นชุดเหตุและผลที่เธอใช้มาตลอด 75 ปีแห่งการมีชีวิต มิได้หมายความว่าเธอจะรู้จักใช้ชุดเหตุและผลนี้มาตั้งแต่ในวัยเด็กหญิงหรอก เธอเริ่มใช้เมื่อถึงวัยแห่งการเป็นสาว เริ่มใช้เมื่อได้ย้ายถิ่นฐานมาเริ่มต้นการทำงานและมีบ้านพักอาศัยอันเป็นมรดกตกทอดของครอบครัว มันคือโมงยามที่ย่านบ้านของเธอยังเป็นร่องสวน การเดินทางเข้าใจกลางเมืองไม่ต่างอะไรกับการข้ามจังหวัด อีกสิ่งที่กำลังหดถอยไปสู่ความว่างเปล่าอย่างเชื่องช้า ทว่าไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึก

บัดนี้ที่โลกมีถ้อยสำเนียงแตกต่างไปจากอดีต ข่าวสารไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาจากวิทยุแค่เพียงแหล่งเดียว วิทยุธานินทร์เครื่องนั้นถูกเปลี่ยนผ่านจากอดีต ไปสู่เครื่องใหม่ที่ป้าเล็กใช้เงินจากเบี้ยผู้สูงอายุที่เก็บสะสม ซื้อมาให้เธอฟังแทนเครื่องเก่า แต่ถึงกระนั้น การหมุนหาคลื่นก็ไม่หลงเหลือซึ่งความพยายามอีกต่อไป การเปิดวิทยุในทุกเช้าของเธอ จึงมีแค่การกระจายเสียงของสถานีวิทยุเถื่อน ที่ออกอากาศอยู่ไม่ไกลจากละแวกบ้าน กระจายเสียงเกือบค่อนวันด้วยโฆษณาอาหารเสริม สลับกับการเปิดเพลงลูกกรุง

“ป้าใหญ่ จะไปไหนน่ะ” เสียงเอ็ดดังแทรกแหลมคมในอากาศทันที ที่เธอกำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดประตูรั้วหน้าบ้าน เป็นเสียงของเล็กที่กำลังเตรียมกับข้าวบนโต๊ะแล้วหันมาเห็นเธอพอดี “จะเดินออกไปหาอะไร ขยันเดินให้มันได้อะไรขึ้นมา ฉันเบื่อเธอมากเลยนะ ได้เวลากินข้าวแล้ว” ป้าเล็กร่ายยาวคำบ่น ซึ่งบัดนี้กลายเป็นธรรมชาติของแต่ละวันที่ป้าเล็กจะต้องพูดคำเหล่านี้กับเธอ เหมือนเมื่อมีเมฆฝน ก็ย่อมต้องมีฟ้าผ่า เธอค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เดินอย่างเชื่องช้า และปิดประตูลูกกรงที่ทางเข้าบ้านเสียงดังสนั่น

มันเป็นเสียงดังสนั่นที่เธอไม่เคยกระทำกับประตูบ้านบานนี้มาก่อน

 

เธอคือพี่สาวคนโตของบ้าน นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดสำหรับคนโบราณในการจะตั้งชื่ออย่างง่ายดายที่สุด ซับซ้อนน้อยที่สุด เธอจึงมีชื่อว่า ใหญ่ และเมื่อมีน้องสาว จึงถูกตั้งชื่อว่า เล็ก

ทั้งใหญ่และเล็ก เป็นหญิงสาวโสดที่มีความพยายามอย่างแรงกล้าในยุคสมัยที่ทั้งคู่ยังสาว ในการเดินทางมาตั้งรกรากในเมืองหลวง พวกเธอทั้งสองเป็นลูกชาวสวนที่เลือกจะมุ่งมั่นในการศึกษา ท่ามกลางเหล่าญาติที่ไม่เคยมองเห็นการมีอนาคตแห่งการจบปริญญาตรี นอกเหนือจากการมีความรู้แบบอ่านออก เขียนได้ และตั้งรกรากทำสวนมะพร้าวอย่างเก่าก่อนเหมือนกับรุ่นปู่รุ่นย่า รุ่นตารุ่นยาย ทำตามกันมา

มีกันแค่สองคนพี่น้อง ไม่ยากต่อการมีชีวิตร่วมกันเท่าไหร่นัก ยิ่งเมื่อพ่อกับแม่ได้ช่วยวางรากฐานให้กับลูกสาวทั้งสองด้วยการซื้อที่ดินย่านฝั่งธนบุรี และออกเงินปลูกบ้านให้ ทุกอย่างยิ่งเรียบง่าย แค่การมีชีวิตที่มีดีกรีการศึกษา มีงานที่มีรายได้พอจะจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ซ่อมแซมบางส่วนของบ้านที่ผุพังไปตามกาลเวลา นั่นก็เพียงพอสำหรับสาวโสดทั้ง 2 คน

แม้สำหรับตัวใหญ่นั้น ไม่เคยมีเรื่องความรักเข้ามาในชีวิตก็ตาม แต่กับเล็กเป็นคนละเรื่องกัน เล็กเป็นผู้หญิงที่ร่าเริงเป็นทุนเดิม มีความเจ้าระเบียบแต่ก็ไม่ได้เคร่งมากเท่ากับพี่สาว เธอถือว่าเป็นสาวทันสมัยคนหนึ่ง ที่ไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนกับความโสด

กระทั่งเธอมีความรักกับสาวรุ่นน้องในสำนักงานเดียวกัน เธอก็ไม่ยี่หระต่อสายตาแห่งความแปลกแยกที่สาดซัดเข้ามาเหมือนเกลียวคลื่นไร้ทิศทาง เธอเลือกจะอยู่กินกับสาวคนรัก ในบ้านหลังเดียวกันกับพี่สาว ซึ่งเธอก็ไม่ได้คิดเป็นอื่นใด นอกจากการมีคนมาอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บางครั้งก็สร้างเสียงหัวเราะร่วมกัน บางครั้งก็อยู่ร่วมกันในโมงยามที่ต้องสูญเสียเศร้าใจ

และนั่นก็ผ่านมากระทั่งปัจจุบัน ที่ 3 ชีวิตอันเริ่มแก่ชราในบ้านหลังเดียวกัน มีหนึ่งในนั้น กำลังจะลืมทุกสิ่งอย่าง

 

สิ่งที่ต่อมาเธอลืม คือกิจวัตรประจำวัน

มันกลายเป็นความไม่รู้ตัว เมื่อเธอตื่นขึ้น และมองไปรอบห้องนอนที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความแปลกหน้า เธอนั่งอยู่บนขอบเตียงโครงเหล็กสีขาวมอซอ ห้องนอนเล็กแคบสำหรับการมีชีวิตเพียงลำพัง และตู้เสื้อผ้าไม้อัดที่เริ่มลอกล่อนออกมา โต๊ะเครื่องแป้งขนาดกะทัดรัดอยู่ไม่ห่างจากเตียง เมื่อทุกเช้าที่เธอตื่น จะสบตากับเงาตัวเองในกระจกเสมอ

เธอกำลังมองอะไร? เงาแห่งริ้วรอยที่ทอดยาวผ่านใบหน้าไร้อารมณ์ เส้นผมบนหัวที่บัดนี้ไม่ว่าจะกระเซิงเพียงใด เธอก็ไม่ยี่หระใดๆ อีกต่อไปแล้ว แม้กระทั้งโคนเส้นผมของเธอจะฉาบไปด้วยสีขาวจนแทบจะค่อนพื้นที่บนหัวแล้วก็ตาม ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอก็คงจะวานใครซักคนในบ้านที่กำลังว่างอยู่ให้ช่วยผสมสีย้อมผม เพื่อปิดบังความแก่ตัวที่เริ่มประจักษ์ชัดขึ้น แต่ในเวลานี้ ไม่อีกแล้ว

เธอจะเงยหน้ามองเพดานห้องอย่างเนิ่นนานไร้เวลา มองจนกว่าอาจจะมีฝ้าซักแผ่นเอ่ยเสียงออกมาให้เธอลุกขึ้นและออกจากห้องนอนได้แล้ว แต่ก็มีเพียงความเงียบภายใน และเสียงจากภายนอกบ้านของเหล่าชีวิตมากมายที่ต้องดำเนินไปตามครรลองของใครของมัน

เธอจะมองอยู่เช่นนั้น จนกว่าจะมีเสียงเคาะประตูแรงๆ เพื่อปลุกเธอจากภวังค์กาล “ตื่นได้แล้ว จะอยู่ในห้องไปถึงเมื่อไหร่” ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงของเล็กที่เปล่งออกมา หรือถ้าไม่เป็นการเคาะประตูปลุก ก็จะเป็นการส่งเสียงลงมาจากชั้นล่างของบ้าน ซึ่งอาณาบริเวณภายในบ้าน กะทัดรัดพอที่เสียงจากห้องใดห้องหนึ่งจะส่งมาถึงผู้ฟังที่กำลังเหม่อลอยได้อย่างชัดถ้อยกระจ่างความ

แต่เธอก็ยังคงโงนเงนอยู่ในโลกส่วนตัว จนกว่าเธอจะลุกขึ้น เมื่อเธออยากจะลุก

 

เธอออกมาจากห้อง ด้วยการปิดประตูเสียงดังแบบที่เธอไม่เคยทำ ราวกับความโกรธกำลังทำงานโดยไร้การควบคุมและการรับรู้ เธอยืนอยู่หน้าห้องเช่นนั้น เสมือนมีหนทางที่เธอไม่คุ้นเคยทอดยาวอยู่ตรงหน้า ทั้งๆ ที่เดินตรงไปก็จะเป็นบันไดสู่ชั้นล่าง ข้างซ้ายมือนั้นคือห้องน้ำ เธอไม่เคยต้องใช้เวลาตัดสินใจนานขนาดนี้ และมันจะเป็นความยาวนานของสัมปชัญญะที่จะคร่ากุมหัวใจของเธอนับแต่นี้เป็นต้นไป เธอไม่รู้ทิศทางภายในบ้านอันกะทัดรัดแห่งนี้ เธอแค่ต้องอาศัยความเคยชิน ความเคยชินอันลุ่มๆ ดอนๆ และไม่อาจคาดคะเนได้

เธอจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่มีการหยิบผ้าเช็ดตัว ปิดประตูห้องน้ำ และเปิดฝักบัวด้วยความเคยชินอันผุพัง สายน้ำเทกระทบร่างที่ยังไม่ถอดเสื้อนอนของเธอ ความชุ่มเย็นปลุกให้เธอตื่นขึ้นแล้ว และนั่นก็นำพาความหวาดหวั่นมาสู่เธอ ทำไมเธอยังอยู่ในชุดนอน ทำไมเธอไม่หยิบผ้าขนหนูจากตู้เสื้อผ้าติดมือมาด้วย ทำไมเธอปล่อยให้ตัวเองเปียกปอนเช่นนี้ แล้วจากนี้เธอจะออกจากห้องน้ำอย่างไร

นั่นคือความเคว้างคว้างที่กำลังทำร้ายหัวใจของเธอ กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น นั่นคือสมาชิกคนที่ 3 ภายในบ้าน อาโป้เดินขึ้นมาเพื่อตามเธอลงไป “ป้าใหญ่ ทำอะไรอยู่ ลงมากินข้าวได้แล้ว มันจะสิบโมงกว่าแล้ว” และอาจเป็นความโชคดี ที่เธอไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำ

“อ้าวพี่ ทำไมอาบน้ำทั้งชุดนอนแบบนี้อีกแล้ว” นั่นไม่ใช่ครั้งแรก แม้เธอจะรู้สึกอย่างแรงกล้าว่านี่คือครั้งแรกที่เธอทำผิดพลาด อาโป้จัดการนำผ้าเช็ดตัวมายื่นให้ ถอดเสื้อผ้า และปล่อยให้เธอได้อาบน้ำอย่างที่ควรจะอาบ

แต่ก็ต้องเป็นอีกครั้งนั่นแหละ ที่อาโป้จะต้องเป็นฝ่ายเดินขึ้นบันไดมาตามเธอ บางครั้งก็ต้องมาตามเพราะเธอเอ้อระเหยอยู่ในห้องน้ำนานเกินไป บางครั้งก็เป็นการยืนเหม่ออยู่ภายในห้องโดยที่ยังไม่สวมเสื้อผ้า ไม่เป็นการยากนักในการจัดการสำหรับบ้านที่มีแต่สุภาพสตรี แต่เมื่อการเป็นหญิงสูงวัย 2 คนที่ต้องคอยดูแลหญิงที่กำลังจะลืมสิ้นทุกสิ่ง ไม่เคยมีอะไรที่เป็นสิ่งคุ้นเคย ไม่มีความง่ายดายในโมงยามของวันต่อวัน

เธอเดินลงมาเพื่อกินข้าว เธอค่อยๆ กินน้อยลงกว่าที่เคยกิน กองข้าวสุมเรียงเม็ดอยู่ที่ขอบจาน ขณะที่กับบางชิ้นยังเหลือซากของการกัดเพียงครึ่งคำกองอยู่ตรงกลางจาน นั่นเป็นอากัปกิริยาที่ทั้งเล็กและอาโป้ไม่รู้ว่าจะควบคุมดูแลเช่นใด ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เพื่อนำมาซึ่งการดุด่าเธอในยามดึก ที่เธอมักจะเดินลงมาควานหาอาหารเย็นชืดในตู้เย็น

เวลาหลังจากนั้น คือการเดินไปรอบๆ บ้าน เดินเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด เธอเดินโดยไม่รับรู้ว่าพื้นที่ตรงหน้านั้นกำลังเจิ่งนองไปด้วยน้ำ หรือว่ากำลังแห้งผากด้วยร่องรอยของตะไคร่น้ำที่โดนแดดเผาจนเป็นกระหย่อมดำเปื้อนพื้น เธอยังคะยั้นคะยอที่จะเดินต่อไป มีบางวันที่เธอลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า ด้วยอายุที่เป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว มันบ่งบอกว่าร่างกายไม่อาจรับมือต่อความเจ็บปวดที่เกิดจากอุบัติเหตุแม้เพียงเล็กน้อย วิธีต่อมาของสมาชิกในบ้านที่พอจะปรามเธอได้ และเท่าที่หญิงสูงวัยอีกสองคนพอจะนึกออก คือการดุด่า

“จะเดินให้มันล้มตายเลยหรือไง ฉันเบื่อนะไม่ใช่ว่าไม่เบื่อ พูดอยู่จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ว่าอย่าไปเดินตรงที่เปียกน้ำ หกล้มขึ้นมาใครรับผิดชอบกัน ปัญญาอ่อนมากใช่ไหม ไปเดินอยู่นั่นแหละ”

เล็กเป็นฝ่ายตวาดอยู่อย่างสม่ำเสมอ มีบางวันบ้างที่อาโป้ก็ต้องเป็นฝ่ายปราม แม้ว่าถ้อยคำจะลดการดุด่าลง แต่เมื่อมันต้องพูดอยู่เช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน อาโป้ก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่มีความพลั้งเผลอ จนต้องเป็นฝ่ายช่วยดุ ทั้งๆ ที่ในส่วนลึก เธอเองก็ไม่ต้องการจะดุคนที่ให้เธอได้อยู่บ้านนี้เป็นการถาวรก็ตาม “พี่ ทำไมทำหูทวนลมไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก เวลาเจ็บตัวเองมีปัญญาไปหาหมอเองเหรอ พูดอะไรก็หัดฟังบ้าง ว่าอย่าไปเดินตรงที่เปียกๆ” อาโป้มักจะกล่าวทำนองนี้ ซึ่งมันเริ่มกลับกลาย จากการมีคนหนึ่งด่า คนหนึ่งปลอบ ตอนนี้ทั้งสองคนต้องสามัคคีกันด่า เพราะการไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมารับมือการถดถอยของคนผู้หนึ่งที่เคยเป็นเสาหลักของบ้านหลังนี้

คำดุด่าจะยังคงกระชับแน่นเพื่อให้เธอได้ตระหนักหรือไม่นั้น ไม่มีใครรับรู้ได้นอกจากตัวเธอเอง บางทีขบวนคำเหล่านั้นอาจมีปีกที่พร้อมจะโบยบินผ่านเหนือหัวของเธอไป ทำให้เธอไม่เคยมีพื้นที่เหลือในความคิดที่จะเก็บกักคำเหล่านั้น เพราะความคิดของเธอค่อยๆ อันตรธานไปที่ละเสี้ยว วันละส่วน เดือนละเรื่อง และไม่สามารถทราบได้เลยว่า เรื่องใดที่จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เธอจดจำได้ เธอจึงยังคงทำในสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นกิจวัตรของเธอที่เคยทำมาครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อบ่ายคล้อย เธอจะเริ่มกลับเข้าไปค้นหาถุงดำเก็บขยะพร้อมกับเหล็กหนีบขึ้นสนิมที่เธอมักใช้ในการหนีบเศษใบไม้ เธอจะเริ่มต้นเดินรอบบ้านอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ เธอมีเจตจำนงคือการเก็บขยะ

แต่นานวันเข้า นิยามของการเดินเก็บขยะเริ่มถอยห่างจากความเป็นจริง ด้วยไม่ต้องการให้เธอดื้อดึงที่จะเดินรอบบ้าน เล็กสั่งอย่างเด็ดขาดว่าไม่ต้องก้มๆ เงยๆ เก็บเศษใบไม้ที่มีเพียงน้อยนิดได้แล้ว แค่การกวาดใส่ที่ตักแล้วเอาไปทิ้งที่ถังขยะ มันประหยัดเวลากว่าเป็นไหนๆ แล้วก็ไม่ต้องเสี่ยงที่จะมีคนล้มจนต้องหามส่งโรงพยาบาลอีกด้วย

แต่เธอก็เลือกจะทำอีกแบบ คือการถือเหล็กหนีบเศษใบไม้ แล้วเอาไปยัดตามซอกกำแพงบ้าน ร่องขอบของกำแพง และบางครั้ง เธอก็โยนข้ามไปยังข้างบ้าน ไม่มีการดุด่ากลับมาหรอก จะด้วยเพราะความเป็นญาติผู้ใหญ่ หรือจะด้วยความเข้าใจในอาการลืมลบหลงสูญของเธอ แต่เธอจะโดนเล็กด่าตลอดทุกเวลาที่เธอได้เผลอทำสิ่งนี้ลงไป

แล้ววันนี้ เธอก็ลืมตัวตน

 

แววตาที่เธอมองเข้าไปในกระจก จมดิ่งมากขึ้นที่ในทุกวันที่หลายสิ่งกำลังทยอยถูกลืม ที่นอนปรากฏรอยบุ๋มเสมือนเธอได้ขุดหลุมให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว วันนี้คือวันอะไร วันนี้เธอเป็นใคร นั่นเสียงใครที่กำลังร้องเรียก “จะลงมากินข้าวไหมเนี่ย” ถ้อยเสียงหนักแน่นที่เกิดจากการตะเบ็งซ้ำไปซ้ำมา เธอลุกขึ้น เดินเหมือนการกระเถิบฝ่าเท้ามากกว่าการย่างก้าว เธอลืมไปแล้วว่าเวลาไหนที่ควรจะอาบน้ำ หรือควรจะเปลี่ยนชุด ไม่รู้สึกแม้ว่าจะมีก้อนของเหลวกึ่งแฉะกึ่งข้น ไหลหล่นลงมากองที่พื้น อาโป้เป็นฝ่ายที่ต้องคอยตามเช็ดตามล้าง เป็นฝ่ายที่ต้องคอยพาไปอาบน้ำ ประแป้งเพื่อให้ตัวหอม และพยายามป้องกันไม่ให้ส่วนที่เป็นข้อหนีบตามร่างกาย ทั้งตรงรักแร้และขาหนีบ ปรากฏผื่นแดงที่จะสามารถรังควานชีวิตบั้นปลายของเธอด้วยอาการแสบคัน

เธอไม่รู้มีใครนอกเหนือจากเธออยู่ในบ้านบ้าง ไม่รู้ว่าคนที่แวะมาเยี่ยมที่บ้านปีละครั้งนั้น เป็นใครมาจากไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เธอจึงได้แต่ยิ้ม ยิ้มเท่านั้นที่เป็นสัญญาณส่งต่อผู้อื่นว่า เธอยังคงสบายดีอยู่

วันนี้ก็อีกเช่นกันที่เธอยังคงเหลือบางความเคยชิน หยิบถุงดำและเหล็กหนีบอันเดิม เพื่อเดินเก็บเศษใบไม้ ยังคงมีเสียงบ่นลอยเข้ามาปะทะอีกตามเคย แต่เธอไม่รู้อีกแล้วว่า เมื่อไหร่กันที่เสียงบ่นที่กำลังได้ยินอยู่ เปลี่ยนผู้บ่นจากเดิมที่เป็นเล็ก บัดนี้กลายเป็นอาโป้

เย็นวันนี้ อาโป้เทบะหมี่แห้งเตรียมไว้ให้เธอแล้ว เธอลืมหลายสิ่ง แต่ก็ยังไม่ลืมวิธีจะตักอะไรซักอย่างเพื่อเข้าปาก ในบ้านตอนนี้มีเพียงเธอและอาโป้ บ้านดูอึมครึมลงไปมากกว่าเดิม อาโป้ได้แต่คอยบอกว่า กินให้อิ่ม แล้วจะได้พาไปอาบน้ำอาบท่า วันนี้จะให้ดูทีวีถึงซักสี่ทุ่มก็ได้ แล้วค่อยนอน เธอพยักหน้าเห็นดีเห็นงามไปด้วย

แล้วเธอก็ถามขึ้นว่า “เล็กกินข้าวแล้วใช่ไหม”

เหมือนมีความเงียบล็อกร่างของอาโป้ จนแทบไม่ไหวติงราวกับหุ่นศิลา

เธอยังคงเคี้ยวลูกชิ้นที่เพิ่งตักเข้าปากอย่างเชื่องช้า มีความคิดที่ไม่อาจควบคุมได้ ถามขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “เล็กกลับบ้านสวนไปแล้วใช่ไหม”

อาโป้รู้อยู่เต็มอก ว่าไม่มีบ้านสวนให้กลับไปแล้ว การที่เล็กไม่อยู่ จะเป็นความจริงตลอดไป ต่อให้วันรุ่งขึ้น วันถัดไป คงมีใครซักคนที่จะชิงไม่อยู่อีกต่อไปก่อนอีกฝ่าย

อาโป้มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันสุดยากหยั่งถึง อาโป้สูดหายใจเต็มปอด เก็บความจริงที่ยังไม่พร้อมจะบอกในตอนนี้ไว้ก่อน พลางบอกว่า “ป้าใหญ่กินอิ่มแล้วก็ไปนั่งหน้าทีวีเถอะ เดี๋ยวโป้เก็บจานไปล้างเอง”

เธอนั่งจ้องมองละครในทีวี โต๊ะอาหารไม่เหลือจานชามแล้ว มีแต่ผ้าลายลูกไม้สีขาวมอซอ กับดอกไม้ปลอมในแจกันที่วางเอาไว้กลางโต๊ะ ต่อให้มีซักสิ่งที่หายไปต่อหน้า เธอก็จำไม่ได้

 

ทุกเช้าจากนี้ไป มีสิ่งที่ต้องเติบโต และมีบางสิ่งที่ต้องร่วงโรยเสมอ ในอากาศอบอ้าวแห่งเดือนเมษายน อาโป้เป็นคนแรกในบ้านที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด ปัดกวาดเช็ดถูบ้าน อาโป้ยกถุงขยะไปใส่ถังเขียวที่ทางการแจกให้บ้านแต่ละหลัง ทำให้บ้านหลังนี้ยังคงสะอาดสะอ้าน ไม่มีเศษใบไม้ให้ใครคนอื่นต้องคอยเดินยักแย่ยักยันเพื่อเสี่ยงต่อการหกล้ม แต่ทุกครั้งที่อาโป้คิดถึงอนาคตในภายภาคหน้า ที่สำหรับตัวอาโป้เองก็ไม่ได้เหลือมากเช่นกัน หลายครั้งที่อาโป้เก็บงำเสียงสะอื้นเอาไว้ ซักมุมใดมุมหนึ่งที่หลังบ้าน

ส่วนเธอนั้น ก็ยังตื่นขึ้นมาเสมอ พร้อมกับการทำสิ่งแรกที่เคยทำมา

เธอจ้องมองเข้าไปในกระจก มองเงาที่สะท้อนออกมาตราบเท่าที่วันเวลาที่เหลืออยู่ ยังคงเดินหน้าต่อไป

เธอลืมไปแล้วว่า นั่นคือใครที่จ้องกลับมา •