Wave to Earth วง โล-ไฟ แจ๊ซ ที่ปักหมุดวงการ เค-อินดี้ บนแผนที่โลก

บทความพิเศษ | ศรัณยู ตรีสุคนธ์

 

Wave to Earth วง โล-ไฟ แจ๊ซ

ที่ปักหมุดวงการ เค-อินดี้

บนแผนที่โลก

 

เกาหลีใต้ไม่ได้มีแต่เหล่าเกิร์ล กรุ๊ป และบอย กรุ๊ป ที่ทำให้ เค-ป๊อป กลายเป็น Soft Power ด้านวัฒนธรรมดนตรีที่ทรงพลานุภาพไปทั่วโลกเท่านั้น

แต่ประเทศที่กระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุนสื่อบันเทิงที่ก่อให้เกิดกระแส Korean Wave หรือ Hallyu อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างเกาหลีใต้ก็ยังมีนโยบายในการส่งเสริมวัฒนธรรมป๊อปที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักด้วย

โดยในภาคของอุตสาหกรรมดนตรีอิสระวงดนตรีอินดี้หลายต่อหลายวงก็ได้ไปสร้างชื่อในเวทีโลกเช่นกัน แต่อาจจะอยู่ในสเกลที่เล็กกว่าอุตสาหกรรมเค-ป๊อปที่ในตอนนี้ได้ยึดหัวหาดวงการเพลงป๊อปโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หากเปรียบ เค-ป๊อป เป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลอย่างเชี่ยวกรากไปทั่วโลก

เค-อินดี้ ก็เป็นดั่งแม่น้ำสายรองที่มีขนาดเล็กกว่าแต่ก็ไหลเคียงข้างขนานไปกับแม่น้ำสายหลักได้อย่างภาคภูมิและรอวันที่จะมาบรรจบกัน

ปัจจุบันมีศิลปิน เค-อินดี้ หลายวงที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น 10cm, Se So Neon, Junnabi, Hyukoh, Balming Tiger, The Black Skirts และอีกมากมาย

วงเหล่านี้สร้างสรรค์งานเพลงในแนวอินดี้ร็อก, ดรีมป๊อป, ฮิปฮอป ไปจนถึงชิลเวฟ ได้อย่างมีคุณภาพทัดเทียมศิลปินจากทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ซึ่งก็รวมถึงวง Wave to Earth ด้วย

Wave to Earth เป็นวงอินดี้ป๊อปสามชิ้นที่ประกอบไปด้วย แดเนียล คิม (ร้องนำ, กีตาร์), จอห์น ชา (เบส) และชิน ดองกยู (กลอง)

พวกเขาตั้งชื่อวงโดยมีเป้าหมายที่จะสร้าง “คลื่นลูกใหม่ทางดนตรี” ให้กับโลกใบนี้ด้วยดนตรี โล-ไฟ (Lo-Fi) ที่ผสมผสานกลิ่นอายของดนตรีนู แจ๊ซ เป็นหลัก

โล-ไฟ ไม่ใช่แนวดนตรีเสียทีเดียว แต่มันเป็นซาวด์ดนตรีที่เกิดจากการใช้เครื่องดนตรีและอุปกรณ์ในการบันทึกเสียงที่คุณภาพไม่ดีมากนัก

ศิลปินจึงจำเป็นต้องใช้ทักษะเฉพาะตัวในการสร้างรูปแบบ (Form) ดนตรีที่ถึงแม้ว่าคุณภาพของเสียงเพลงจะค่อนข้างต่ำแต่การใช้ไอเดียในการสร้างสรรค์หรือผสมผสานดนตรีหลากหลายแนวเข้าไว้ด้วยกันก็สามารถยกระดับงานเพลงให้สูงขึ้นได้

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ไบรอัน วิลสัน แห่งวง The Beach Boys ที่นับได้ว่าเป็นบิดาของดนตรีโล-ไฟ จากการทดลองสร้างซาวด์แปลกใหม่ได้อย่างน่าทึ่งจากความคิดสร้างสรรค์ในระดับอัจฉริยะ

ปัจจุบันโล-ไฟถูกนำมาใช้กับวงอินดี้ป๊อปร่วมสมัยมากมายเพื่อเป็นการลดมิติหรือความซับซ้อนของซาวด์ให้ฟังง่ายขึ้น ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ใช้เอฟเฟ็กต์หรืออุปกรณ์ปรุงแต่งซาวด์แต่น้อยและมีจังหวะที่เชื่องช้าแต่ทว่าละมุนละไม

ในกรณีของวง Wave to Earth บทเพลงของพวกเขาได้สร้างบรรยากาศให้ผู้ฟังเหมือนได้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติอีกครั้งในแบบที่ไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นเขาเพื่อมองความงามของทะเลหมอกยามเช้า, ใช้มือสัมผัสความเย็นจากแม่น้ำลำธาร หรือว่านั่งฟังเสียงคลื่นซัดเข้าสู่ชายหาดริมทะเลเลย

ในปี 2020 วง Wave to Earth ปล่อยอีพีออกมาสองชุดอย่าง summer flows 0.02 และ wave 0.01

งานเพลงทั้งสองชุดมีสีสันของดนตรีแจ๊ซที่มีเมโลดี้ที่สวยงามด้วยสัดส่วนการเรียบเรียงดนตรีที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป

wave 0.01 มีการผสมผสานของนอยซ์ มิวสิค จากความก้องกังวานของเสียงกลองและฉาบ ส่วนซาวด์กีตาร์ออกไปทางชิล เวฟ หลายเพลงมีสีสันของดนตรีดรีม ป๊อป

ด้าน Summer Flows 0.02 เป็นงานเพลงที่เพิ่มความหนักแน่นอนของดนตรีร็อกเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งดนตรีในแบบโล-ไฟที่เพิ่มความซับซ้อนเข้ามาด้วยดนตรีไซคีเดลิก และนู แจ๊ซ

0.1 flaws and all สตูดิโออัลบั้มแผ่นคู่ชุดแรกของวงมีคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ

A Side แผ่นแรกเป็นเพลงป๊อปที่มองโลกสดใสด้วยมนต์เสน่ห์ของดนตรีแจ๊ซที่ผสมผสานกับดนตรีอินดี้ร็อก

ส่วน B Side เป็นงานเพลงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่มืดหม่น

14 เพลงในอัลบั้มพูดถึงความรักในง่มุมที่หลากหลายโดยใช้ความรู้สึกภายในและธรรมชาติภายนอกเป็นแรงผลักดันในการแต่งเพลง โดยทางวงใช้เวลานานถึงสองปีในการทำอัลบั้มเต็มชุดนี้

 

แดเนียล คิม ที่รับหน้าที่แต่งเพลงในงานเพลงชุดนี้ให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าว USA Today ในระหว่างที่ Wave To Earth กำลังทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกาในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมาว่า

“ผมต้องการให้งานเพลงชุดนี้เป็นตัวแทนของวง Wave to Earth จริงๆ เป็นตัวตนของพวกเราจริงๆ ไม่ใช่เป็นตัวตนของพวกเราที่ถูกมองโดยคนภายนอก ซึ่งมันอาจจะทำให้เป้าหมายที่แท้จริงในการทำงานเพลงของเราถูกเข้าใจผิด”

ความท้าทายนี้ทำให้ทางวงพิถีพิถันในการแต่งเนื้อร้องและทำดนตรีให้มีความเจนจัดมากขึ้นแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งซาวด์ของดนตรีแจ๊ซและโล-ไฟที่หลอมรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

เพลงฮิตของวงอย่าง seasons พูดถึงความรักที่ชอกช้ำในสไตล์เพลงบัลลาด

เพลง ride ไม่ต่างไปจากการพาเราไปสัมผัสกับสายลมที่กำลังพัดไหวอยู่บนชายหาด

เพลงแจ๊ซสนุกๆ ในเพลง surf

เพลงชิลเวฟชวนฝันอย่าง light ท่วงทำนองและบรรยากาศเพลงในรูปแบบนี้ยังคงอยู่ในอัลบั้มเต็มชุดแรก แต่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือการใช้เอฟเฟ็กต์กีตาร์ Reverb เพื่อให้เสียงที่ก้องกังวานมากขึ้น ซึ่งมีการใช้เอฟเฟ็กต์นี้กับเสียงร้องด้วย มีการใช้เปียโนและแซกโซโฟนในบางเพลง

ที่เด่นมากๆ คือเพลง homesick และ nouvelle vague โดยเฉพาะอย่างยิ่ง so real ที่ฟังแล้วเหมือนให้นักแซกโซโฟนในตำนานอย่าง เวย์น ชอร์ตเตอร์ มาเป่าแซกฯ ให้กับเพลงของวงอย่าง The Comet is Coming ซึ่งเป็นวงดนตรีในแนวนู แจ๊ซ ที่เล่นเร็วและทรงพลังสุดสุด

ยากที่จะบอกว่าเพลงไหนที่ดีไปกว่าเพลงไหน

bad, sunny day, evening glow, love. ที่อยู่ในพาร์ต A Side ที่มองโลกสดใสต่างก็เป็นเพลงที่ฟังสบาย

ส่วนเพลงที่อยู่ในพาร์ต B Side ที่หม่นหมองกว่าอย่าง homesick, dried flower, sunburn, akira, nouvelle vague และ so real ทางวงปล่อยของด้วยการนำดนตรีบัลลาด, โล-ไฟ, ชิลเวฟ ไปจนถึงไซคีเดลิก และนู แจ๊ซ อย่างสำแดงเดชเต็มที่

โดยแดเนียล คิม ที่รับหน้าที่แต่งเพลงเองเกือบทั้งชุดเผยสาเหตุที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักว่าเป็นเพราะทางวงต้องการที่จะพาเพลงของวง Wave to Earth ให้ไปไกลในระดับโลก

ซึ่งทางวงทำได้อย่างสวยสดงดงาม เพราะทัวร์อเมริกาในปี 2023 ที่ผ่านมา บัตรคอนเสิร์ต โซลด์ เอาต์ ในทุกเมืองที่ทางวงไปแสดง

 

Wave to Earth ขึ้นชื่อในเรื่องการแสดงสดที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทักษะทางดนตรีและความเป็นทีมเวิร์กอันยอดเยี่ยม ส่งผลให้เครื่องดนตรีทุกชิ้นที่สมาชิกแต่ละคนเล่นมีการสอดผสานกลมกลืนอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

Wave to Earth เคยแสดงคอนเสิร์ตที่ไทยมาแล้วสองครั้งในเทศกาลดนตรี Very Festival ปี 2022 และคอนเสิร์ตเดี่ยวเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา

ส่วนการได้สั่งสมประสบการณ์เพิ่มเติมกับการเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกา ที่ถือว่าเป็นประเทศต้นกำเนิดของดนตรีแจ๊ซและโล-ไฟ ก็ทำให้ฝีไม้ลายมือในการแสดงสดของทางวงเพิ่มมาตรฐานให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก

Wave to Earth จะกลับมาแสดงคอนเสิร์ตอีกครั้งที่ Union Hall กับโชว์ที่มีชื่อว่า Wave to Earth : The First Era Concert Live in Bangkok ในวันที่ 9 มีนาคม 2024

โดยก่อนที่จะแสดงคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ ทางวงจะขึ้นโชว์ที่ Chiang Mai Hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ในวันที่ 6 มีนาคมด้วย

ใครที่เคยพลาดชมคอนเสิร์ตของวงเมื่อสองปีที่แล้ว ปีนี้บอกได้คำเดียวว่าห้ามพลาด

ส่วนใครที่เคยดูแล้วก็ได้ดูซ้ำอีกครั้งก็น่าจะดี เพราะกลับมาคราวนี้ชั้นเชิงทางดนตรีของวงยกระดับสูงขึ้นกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน