Best Headphones, Music Streamers & DACs

ถึงตอนสุดท้ายแล้วนะครับ เริ่มกันที่รางวัลตกค้างของชุดหูฟังจากเที่ยวก่อน เป็นรางวัลชุดหูฟังมีสาย Best Wired Headphones แบบ On-Ear ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 100 ปอนด์

ผู้ชนะคือ Austrian Audio Hi-X5 เป็นชุดหูฟังราคาประหยัดและมากความสามารถสำหรับใช้งานในบ้าน ให้น้ำเสียงที่พรีเมียมสวนทางกับราคามาก นำเสนอเสียงดนตรีที่ชัดเจนและเปิดกว้าง ขุดลึกลงไปในรายละเอียดออกมาให้สัมผัสได้อย่างน่าทึ่ง และน่าประทับใจ

ชุดหูฟังแบบครอบหูมีสายในกลุ่มราคา 100-200 ปอนด์ ผู้ได้รางวัลคือ Rode NTH-100 ด้วยความพอดีที่สวมใส่สบายซึ่งมาพร้อมเสียงอันไพเราะและชัดเจน คือจุดเริ่มต้นแห่งชัยชนะของหูฟังชุดนี้ ให้น้ำเสียงที่มีลีลาอันน่าฟัง และเปิดเผยออกมาอย่างหมดจด งานฝีมือดูดี สวมใส่สบายติดต่อกันได้เป็นเวลานานหลายๆ ชั่วโมง

ทั้งยังเป็นที่ประทับใจคณะกรรมการถึงกับมอบตำแหน่ง Product of the Year ในสาขานี้ให้ด้วย

สำหรับชุดหูฟังมีสายแบบครอบหูราคาสูงกว่า 200 ปอนด์ ผู้ได้รางวัลคือ Grado SR325x เป็นชัยชนะอีกปีของหูฟังแบบเปิดหลังชุดนี้ ที่ยังคงรักษาความเหนือชั้นในกลุ่มนี้เอาไว้ได้ ซึ่งเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทางด้านกายภาพ แต่มีการปรับแต่งในรายละเอียดต่างๆ ที่ทำให้เป็นผู้นำในระดับเดียวกัน โครงสร้างภาพลักษณ์นั้นแข็งแรงทนทาน ขณะที่การเสนอน้ำเสียงให้ออกมาสนุกสนานมาก

สำหรับชุดหูฟังแบบ In-Ear ที่มีสายสัญญาณ รางวัลในกลุ่มราคาต่ำกว่า 100 ปอนด์ ผู้ชนะคือ SoundMagic E11C อีกครั้งที่ชุดหูฟังราคาไม่แพงนี้ให้สิ่งที่ดีที่สุดแบบใครก็สามารถเป็นเจ้าของได้ มาพร้อมรีโมตและไมโครโฟนที่เอื้อความสะดวกในการใช้งาน ให้น้ำเสียงที่สนุกสนานและสื่อออกมาอย่างน่าฟัง

รางวัลสุดท้ายในกลุ่มราคาสูงกว่า 100 ปอนด์ ผู้ชนะคือ Shure Aonic 3 ที่แม้จะไม่ใช่รุ่นล่าสุด แต่มันก็ยังคงดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในราคาขนาดนี้ (179 ปอนด์) ให้การทำงานที่น่าตื่นเต้น นอกจากสวมใส่สบายแล้วยังนำเสนอเสียงดนตรีที่น่าทึ่ง และยังคงเป็นมาตรฐานของหูฟังอิน-เอียร์ในระดับนี้

ภาพรวมของเสียงให้ความเป็นดนตรีที่ยอดเยี่ยม มีไดนามิกที่ดี มีรายละเอียดและสมดุลเสียงที่ดี น้ำหนักเบาพกพาสะดวกสวมใส่สบาย

 

ต่อกันที่รางวัลในสาขา Best Music Streamers เครื่องแรกซึ่งชนะในกลุ่มราคาต่ำกว่า 300 ปอนด์ คือ WiiM Pro Plus ตัวเลือกระดับเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมมาก มาพร้อมน้ำเสียงที่มีรายละเอียด สื่อถึงอารมณ์อย่างลึกซึ้งและควบคุมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพการทำงานอันทรงพลัง แอพพลิเคชั่นควบคุมการทำงานยอดเยี่ยมมาก ง่ายต่อการติดตั้งและใช้งาน หากคุณกำลังจะก้าวสู่โลกของการสตรีมเพลง มาเริ่มต้นที่นี่จะไม่ผิดหวังแน่นอน

ในกลุ่มราคา 300-750 ปอนด์ ผู้ชนะคือ Cambridge Audio MXN10 ขนาดกะทัดรัดที่นำเสนอผลงานออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่ มาพร้อมคุณสมบัติที่น่าประทับใจสำหรับเครื่องราคาระดับนี้ (449 ปอนด์) ให้น้ำเสียงที่ตราตรึงดึงดูดใจให้ชวนฟังไม่รู้จบ มีประสิทธิภาพการทำงานรอบด้านมาก รองรับการทำงานกับไฟล์เสียงได้หลายหลาก พร้อมกับคว้าตำแหน่ง Product of the Year ไปอีกรางวัลด้วย

และที่น่าภาคภูมิใจยิ่งของค่ายเคมบริดจ์ ออดิโอ ก็คือ Music Streamer เครื่องนี้ยังคว้าอีกหนึ่งรางวัลเกียรติยศจากงานครั้งนี้ด้วย นั่นคือคือ Readers’ Award

พูดแบบบ้านๆ ก็คือ ‘รางวัลขวัญใจมหาชน’ นั่นแหละครับ

ในกลุ่มราคา 750-1,500 ปอนด์ ผู้ชนะยังมาจากค่ายเดียวกัน คือ Cambridge Audio CXN (V2) สตรีมเมอร์อเนกประสงค์เครื่องนี้ยังคงยึดตำแหน่งของกลุ่มนี้เอาไว้อย่างมั่นคง เพราะมันดีที่สุดแล้วในราคาระดับนี้ (700 ปอนด์) ภายใต้การออกแบบอย่างพิถีพิถัน มาพร้อมการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้หลากหลาย และมีคุณสมบัติใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นผ่านการอัพเดตซอฟต์แวร์ และสำคัญสุดคือมีคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมมาก

ปีนี้น่าจะเป็นปีทองของค่ายเคมบริดจ์ ออดิโอ จริงๆ เพราะเครื่องนี้ยังคว้าอีกหนึ่งรางวัลเกียรติยศในงานด้วย คือ Hall of Fame ซึ่งก็คือเครื่องบนที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ

ส่วนเครื่องล่างเป็นอินติเกรตเต็ด แอมป์ รุ่น CX-A81 ที่เมื่อปีก่อนเป็นผู้ชนะสเตอริโอ แอมป์ ในกลุ่มราคา 800-1,500 ปอนด์ ซึ่งทั้งคู่เวลานี้ในบ้านเรามีโปรโมชั่นพิเศษลดราคาจากแสนกว่าเหลือเพียงเจ็ดหมื่นต้นๆ ต่อชุด (เท่านั้นเอง!) เห็นราคาแล้วเร้าใจมากครับ!!

รางวัลสุดท้ายของสาขานี้เป็นกลุ่มราคาสูงกว่า 1,500 ปอนด์ ผู้ชนะคือ Naim ND5 XS 2 หากเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณ นี่คือสตรีมเมอร์ที่ดีที่สุดในราคานี้ (2,299 ปอนด์) นับเป็นอุปกรณ์เครือข่ายสำหรับระบบเสียงไฮ-ไฟที่ยอดเยี่ยมมาก แม้ว่าหน้าตาอาจจะดูเรียบง่าย ไร้ลูกเล่น แต่มันมีนานาคุณสมบัติและพร้อมรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลายมาก ให้น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุนทรีย์

เป็นน้ำเสียงที่มีรายละเอียดและเข้าถึงแก่นดนตรีอย่างลึกซึ้ง ทั้งยังให้การนำเสนออย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก

รางวัลในสาขาต่อมา คือ Best DACs (Digital-to-Analogue Converter)

เครื่องแรกที่ได้รางวัลในกลุ่มราคาต่ำกว่า 200 ปอนด์ ได้แก่ iFi Zen DAC V2 เครื่องราคาประหยัดที่ยังทำหน้าที่เป็นเฮดโฟน แอมป์ ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ให้น้ำเสียงกระจ่างใส ชัดเจน และเข้าถึงเสียงดนตรีอย่างลึกซึ้ง ให้ไดนามิกออกมาได้ยอดเยี่ยม สามารถเลือกเอาท์พุทได้หลากหลาย รองรับไฟล์ความละเอียดสูงทั้ง PCM 384kHz, DSD256 และ MQA เสียดายตรงไม่มีเมน อะแด็พเตอร์ ให้มาด้วย

รางวัลเครื่องในกลุ่ม 200-300 ปอนด์ ได้แก่ AudioQuest DragonFly Cobalt เป็น USB-DAC ขนาดกะทัดรัด (แบบพกพา) ที่ยากมีใครเอาชนะมันได้ และยอดเยี่ยมมากกับระดับราคานี้ รองรับไฟล์ความละเอียดเสียงสูงถึงระดับ 24-bit/96kHz พร้อมรองรับไฟล์ MQA นำเสนอน้ำเสียงที่สะอาดและมีความแม่นยำสูง ให้จังหวะเวลาที่เที่ยงตรง ไดนามิกยอดเยี่ยม มีจุดอ่อนอยู่บ้างก็ตรงอะแด็พเตอร์ที่ให้มา

สำหรับเครื่องในกลุ่ม 300-1,000 ปอนด์ ที่ได้รางวัลคือ Chord Mojo 2 ซึ่งได้ยกระดับเครื่องในกลุ่มราคานี้ให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ และเป็นเสมือนตัวเปลี่ยนเกมของผู้เล่นในกลุ่มเครื่องพกพาอย่างแท้จริง ให้น้ำเสียงที่โปร่งใสเหนือเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งยังเป็นเสียงดนตรีที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เป็นน้ำเสียงที่เปิดเผย ที่สำคัญคือสามารถนำน้ำเสียงอันยอดเยี่ยมนี้ไปได้ทุกหนแห่ง ทั้งยังมีอุปกรณ์ประกอบให้เลือกเพิ่มประสิทธิภาพได้อีกมากมาย

ซึ่งกับความโดดเด่นทั้งมวล รวมไปถึงการให้นำไปใช้งานในที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวก ทำให้ได้รับการยกย่องให้เป็น Product of the Year ของเครื่องในสาขานี้ (ซ้ำอีกปีหนึ่ง) ด้วย

เครื่องสุดท้ายของรางวัลในสาขานี้อยู่ในกลุ่มราคาสูงกว่า 1,000 ปอนด์ ผู้ชนะก็มาจากค่ายเดียวกัน คือ Chord Qutest ซึ่งยังคงความยอดเยี่ยมอย่างหนักแน่น และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเครื่องระดับราคานี้อีกครั้ง นำเสนอน้ำเสียงที่ยอดเยี่ยมมากจากการทำงานอันทรงประสิทธิภาพ เป็นน้ำเสียงที่ชัดเจน กระจ่างใส ถ่ายทอดออกมาได้ถูกต้อง แม่นยำ และด้วยท่วงทำนองของจังหวะดนตรีที่เปี่ยมคุณภาพมาก แม้จะเป็นเครื่องขนาดเล็ก กะทัดรัด แต่อัดแน่นด้วยนานาคุณสมบัติแบบเกินคาดมาก

ทั้งหลายทั้งปวงของ What Hi-Fi? Awards ที่น่าสนใจของปีนี้ ก็มีดังที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นแหละครับ •

 

เครื่องเสียง | พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]