KNOCK AT THE CABIN | ‘โลกาวินาศ (อีก)’

นพมาส แววหงส์

มาอีกแล้วค่ะ เอ็ม ไนต์ ชยามาลัน เจ้าของผลงานหนังสยองขวัญซึ่งเป็นหนังที่ทุกคนพูดถึงกันเซ็งแซ่เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว The Sixth Sense (1999)

แต่ดูจากผลงานที่ตามต่อมาอีกกว่าสิบเรื่อง ผู้กำกับฯ เชื้อสายอินเดียคนนี้ (ซึ่งผู้เขียนคิดว่าถ้าเกิดเป็นคนไทยจะต้องชื่อ “ศยามล” จากตัวสะกดที่ดูท่าว่ามาจากสันสกฤต) ท่าจะก้าวไปไม่ถึงดวงดาวเรืองโรจน์สว่างไสวเหมือนหนังเรื่องแรกที่เข้ามาเขย่าวงการฮอลลีวู้ดให้ตื่นตาตื่นใจ โดยทั้งเขียนเองกำกับฯ เองอีกแล้ว

หนังหลายเรื่องที่เขาทำต่อมา ถ้าไม่ “แป้ก!” “ยี้” “พิลึก” อย่างดีก็แค่ “งั้นๆ” “พอดูได้” “โอเคนะ” “น่าสนใจพอใช้”

ไม่เคยถึงขั้น “ว้าว!” อีกเลย

ผู้เขียนดูหนัง Knock at the Cabin จบแล้ว ก็ต้องถอนหายใจและส่ายหน้าแบบ “ม่ายไหว” หรือ “ไม่เข้าท่า” ค่ะ

คราวนี้เขาเขียนบทหนัง โดยไม่ได้สร้างเรื่องราวจากมันสมองของตัวเอง แต่ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อ The Cabin at the End of the World โดยพอล เทรมเบลย์

ขอบอกว่าไม่ได้อ่านหนังสือต้นฉบับหรอกค่ะ แล้วก็ไม่นึกอยากอ่านด้วย เพียงแต่ทราบจากข้อมูลทุติยภูมิว่าหนังสือมีตอนจบที่แตกต่างไปจากหนังมากเหมือนเล่าคนละเรื่องเดียวกันเลย

หนังเริ่มในลักษณะของเรื่องราวการปลีกวิเวกไปพักผ่อนอย่างสงบในบ้านเล็กในป่าใหญ่ของครอบครัวที่มีลูกสาววัยเจ็ดขวบ

จะผิดไปก็แต่ว่าในครอบครัวนี้ เหวิน (คริสเตน กุย) เป็นเด็กชาวจีน ซึ่งอยู่กับ “พ่อสองคน” พ่อเอริก (โจนาธาน กรอฟฟ์) กับ พ่อแอนดรู (เบน อัลดริดจ์) โดยปราศจาก “แม่”

เนื่องจากความเป็นครอบครัวเพศเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่ามีลูกไม่ได้ จึงรับอุปการะเด็กมาเป็นลูกบุญธรรม เหวินเป็นเด็กพิการตั้งแต่เกิด คือเกิดมาปากแหว่ง จึงมีแผลเป็นที่ยังสมานไม่สนิทจากศัลยกรรมตกแต่ง

หนังเปิดเรื่องที่เหวินกำลังเล่นจับตั๊กแตนมาใส่ขวดโหลอยู่คนเดียวในป่า แล้วก็เฝ้ามองพฤติกรรมของตั๊กแตนในขวด ราวกับจะเป็นอุปมากับการทำตัวเป็นพระเจ้าผู้บงการสรรพสิ่งบนโลก

ไม่นานก็มีชายร่างสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นเดินเข้ามาหา และแนะนำตัวว่าชื่อ เลนนาร์ด (เดฟ บาวติสตา) ดูท่าทางจะมีเมตตากับหนูน้อยที่เล่นอยู่คนเดียว จึงอาสาช่วยจับตั๊กแตนให้

ยังไม่ทันไร หญิงชายอีกสามคนก็เดินมาแต่ไกลเพื่อเข้ามาสมทบ รวมเป็นทีมสี่คน แสดงท่าทีคุกคามสวัสดิภาพของเด็กน้อย เนื่องจากทุกคนมีอาวุธอยู่ในมือ

เหวินตกใจกับท่าทีอันเป็นอรินั้นจึงวิ่งหนีเข้าบ้านไปหาพ่อทั้งสอง และเตือนภัยเฉพาะหน้าที่ดูเหมือนกำลังจะมาคุกคามนี้

เคบินหลังเล็กในป่าใหญ่นี้ก็ดูไม่มั่นคงแน่นหนาพอจะขัดขวางการบุกรุกจากคนภายนอกได้เลย…หน้าต่างเป็นกระจกโปร่งใสที่ทุบเข้ามาได้ในลัดนิ้วมือ โดยเฉพาะสำหรับผู้รุกรานที่ถืออาวุธพร้อมมือ

ถึงตอนนี้หนังดูท่าว่าจะเป็นหนังเขย่าขวัญแบบครอบครัวที่ตั้งใจหลีกหนีจากสังคมไปพักผ่อนอย่างสงบ แต่ถูกกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาคุกคาม กระทำการใดก็ไม่ทราบด้วยความประสงค์ร้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง

ชวนให้นั่งไม่ติดที่ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอเข้ากับเรื่องน่ากลัวอะไรบ้าง

แล้วหนังก็ไม่ได้เบี่ยงเบนไปจากพล็อตของหนังเขย่าขวัญดังคาด เพียงแต่ว่าแรงจูงใจของเหล่าคนร้ายในการคุกคามบ้านเล็กในป่าใหญ่นี้ไม่ใช่เรื่องดาดๆ ที่มาจากของความโลภโมโทสันและความเห็นแก่ตัวหรือการเอาตัวรอด

แต่เกิดจาก “การปักใจเชื่อ” ในปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ อันประจักษ์แก่ตัวเองใน “นิมิต” หรือภาพในหัวของแต่ละคนซึ่งบังเอิญมาพ้องพานกัน

เหล่าคนร้ายที่มีเจตนารมณ์ประเสริฐต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติพวกนี้เชื่อว่าวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงอยู่รอมร่อในอนาคตอันใกล้ด้วยลักษณะของการลงทัณฑ์ขั้นมหากาฬจากสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งไร้เหตุผลและคำอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำในมหาสมุทรที่ท่วมท้นขึ้นจนกลายเป็นสึนามิพัดเข้ากวาดล้างชายฝั่งทะเล ไม่ว่าโรคระบาดระดับมหากาฬแบบที่โบราณเรียกว่า “ห่าลง” ไม่ว่าภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั่วโลก อย่างเช่นเครื่องบินดิ่งร่วงจากท้องฟ้าเหมือนโดนขีปนาวุธสอยร่วงลง

“นิมิต” ของคนพวกนี้บอกว่ามีหนทางแก้ไขให้โลกพ้นจากวิกฤตของมหันตภัยล้างโลกนี้ได้เพียงอย่างเดียว คือครอบครัวเล็กๆ นี้จะต้องเสียสละด้วยการปลิดชีพของคนที่ตนรักเพื่อสังเวยแก่การลงมหาทัณฑ์แก่โลกนี้

ประเด็นก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “นิมิต” เป็นภาพหลอนในหัว หรือความหลงผิดในความเชื่อเรื่องศาสนา จนคิดปรุงแต่งไปเองหรือเปล่า

ถ้าองค์ประกอบของหนังให้ความคลุมเครือในการตีความ การหักมุมด้วยเซอร์ไพรส์ที่ชวนฉงนแบบไม่คาดคิด ไม่ลงเอยด้วยตอนจบซื่อๆ พร้อมคติสอนใจแบบนี้ ก็อาจจะเป็นหนังที่ชวนให้คิดพินิจพิเคราะห์พิจารณ์กว่านี้

นอกจากนั้น ตอนท้ายก็ดูขมวดจบให้เป็นนิทานสอนศีลธรรมอันชวนอบอุ่นใจว่าด้วยเรื่องความรักอันบริสุทธิ์ พร้อมด้วยอุปมาและองค์ประกอบของพล็อตที่พาดพิงถึงพระคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการลงทัณฑ์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ โดยการส่ง “จตุรอัศวานึกแห่งการล้างโลก” (The Four Horsemen of the Apocalypse) ซึ่งเป็นเทวทูตแห่งหายนภัยทั้งหลายทั้งปวงอันเกิดแก่มนุษยชาติ ในรูปของชายหญิงสี่คนที่บุกรุกเข้ามายื่นข้อเสนอด้วยเงื่อนไขพิสดารแก่ครอบครัวเล็กๆ ในบ้านน้อยในป่าใหญ่นี้

สรุปว่าผู้เขียนรู้สึกแปลกแยกกับหนังเรื่องนี้ อะไรๆ ก็ไม่เข้าที่เข้าทาง จนไม่กระตุ้นให้นึกอยากอ่านหนังสือต้นฉบับเช่นดังในกรณีของหนังน่าคิดที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายอีกหลายต่อหลายเรื่องเลย

ไม่โดนใจค่ะ •

KNOCK AT THE CABIN

กำกับการแสดง

M. Night Shayamalan

แสดงนำ

Dave Bautista

Jonathan Groff

Ben Aldridge

Kristen Cui

ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์