ก่อน ‘แชร์’ ต้องมีสติยั้งคิด | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

ก่อน ‘แชร์’ต้องมีสติยั้งคิด

สองสามวันก่อนผมมีนัดหมายไปกินข้าวที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง โดยมีการชักชวนเพื่อนคนอื่นที่เรียนหนังสือกันมาตั้งแต่เด็กและเวลานี้อยู่ในวัยเกษียณด้วยกันทั้งนั้นแล้วมากินข้าวกลางวันด้วยกันสักมื้อหนึ่ง ใช้วิธีซื้อหาอาหารติดไม้ติดมือมาคนละอย่างสองอย่าง มีเพื่อนมาเกือบสิบคน อาหารร่วมสิบอย่าง แค่นี้อิ่มหนำสำราญแล้ว

อิ่มท้องแล้วยังมีการนั่งพูดคุยกันต่อเพราะไม่มีธุระต้องไปทำอะไรที่ไหน เพื่อนคนหนึ่งคงเห็นว่าผมเป็นคนที่รู้เรื่องอะไรมากอยู่และพบปะผู้คนมากมายอยู่เสมอ จึงเอ่ยปากถามผมขึ้นว่า

“ช่วงปีใหม่ปีนี้ตกลงรัฐบาลเขาจะประกาศล็อกดาวน์ใช่ไหม”

ผมฟังคำถามจากเพื่อนแล้วก็รู้สึกมึนไปเล็กน้อย เพราะถ้าเป็นคำถามเมื่อสองหรือสามปีก่อนผมก็คงคิดว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของโรคระบาดโควิดซึ่งรุนแรงอยู่ไม่ใช่น้อยในเวลานั้น แต่นี่เหตุการณ์ก็ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว ยังไม่เห็นมีวี่แววอะไรเลยว่าจะต้องล็อกดาวน์ไปทำไม

ผมจึงย้อนถามเจ้าของคำถามกลับไปว่า ทำไมจะต้องล็อกดาวน์ และที่สำคัญคือทำไมจะต้องถามเช่นนั้น

คำตอบที่ได้รับ คือเวลานี้มีไข้หวัดใหญ่กำลังระบาด ส่วนที่มาของคำถามคือการอ่านจาก LINE ที่มีคนส่งต่อกันมาบอกว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังและคงจะประกาศอย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้

ผมได้แต่ร้องพุทโธ่! อยู่ในใจ แล้วตอบไปว่า ไม่ได้ยินอะไรเลยในเรื่องนี้ และไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงด้วย

 

จากนั้นประเด็นพูดคุยในวงสนทนาของเราก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่มาใน LINE กลุ่มต่างๆ ที่คนสูงอายุวัยผมหรือจะเป็นคนในวัยไหนก็ตามเป็นสมาชิกอยู่ ข่าวสารที่ส่งต่อกันมาในระบบนี้มารวดเร็ว และมีปริมาณมาก จึงเป็นหน้าที่ของผู้รับข่าวสารต้องตั้งสติให้จงดี

มองในมุมบวก LINE กลุ่มก็มีดีอยู่มาก ตั้งแต่การรับส่งข่าวสารกันในครอบครัว แทนที่จะใช้วิธีสื่อสารกันทีละคนทีละคน เพียงส่งข้อความไปใน LINE กลุ่มของครอบครัวครั้งเดียวก็เป็นอันสื่อสารแล้ว

แต่ต้องระวังเหมือนกันนะครับ อย่าไปนึกว่าส่งแล้วผู้รับสารจะรับและอ่านทันที เรื่องใดเป็นเรื่องด่วนและมีความสำคัญ ผมไม่เคยวางใจ LINE กลุ่มครอบครัวครับ ผมต้องใช้วิธีโทรศัพท์หรือติดต่อโดยวิธีอื่นเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนหรือคนที่มีความสำคัญแบบเฉพาะเจาะจงได้รู้แล้วแน่นอน

ผมเป็นสมาชิก LINE กลุ่มอยู่หลายกลุ่ม ได้ใช้ประโยชน์จากระบบนี้ในการนัดหมายหรือส่งข่าวสารอยู่บ่อยครั้ง และทุกวันนี้ก็ยังคงใช้อยู่

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อความที่เขียนส่งกันไปมาบางครั้งยังเป็นการปลอบประโลมใจของเราว่า เราไม่ได้สุขหรือทุกข์อยู่คนเดียว หากแต่มีเพื่อนในกลุ่มช่วยกันดูแลประคับประคองด้วย ข้อความที่เขียนไว้ใน LINE ไม่ได้ลอยหายไปในอากาศ แต่สามารถอ่านทวนย้อนหลังเมื่อไหร่ก็ได้

แต่ของทุกอย่างมักจะมีสองด้านอยู่เสมอ

ในมุมกลับหรือในแง่ลบ ข่าวสารที่มาในระบบ LINE ซึ่งมาเร็วและมีมากเป็นที่เข้าใจของผมเองว่าอย่าเชื่อโดยฉับพลันทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความหรือรูปภาพที่ส่งมาให้เราโดยไม่มีที่มาที่ไป

ขนาดเห็นภาพแล้วยังเชื่อไม่ได้เลยครับ เพราะ AI สมัยนี้ก็ทำอะไรได้มหัศจรรย์มาก

 

ย้อนกลับไปพูดถึงคำถามของเพื่อนผมว่าจะมีการล็อกดาวน์ช่วงปีใหม่หรือไม่ ผมย้อนถามเพื่อนว่า นอกจากข่าวสารที่ได้รับมาในระบบ LINE แล้วเคยเห็นข่าวหรือประเด็นนี้ในสื่อหลักไม่ว่าจะเป็นวิทยุโทรทัศน์ สื่อออนไลน์สำนักที่น่าเชื่อถือ หรือหนังสือพิมพ์บ้างหรือไม่

คำตอบก็คือ ไม่

ผมจึงให้ความเห็นว่า ถ้าเป็นประเด็นสำคัญคอขาดบาดตายขนาดนี้ และถ้าเกิดขึ้นจริงจะส่งผลกระทบต่อคนนับล้าน จะกระเทือนต่อการจัดงานและธุรกิจต่างๆ เป็นอันมาก ทำไมเล่าจึงไม่ปรากฏข่าวคราวในสื่อหลักเลย

มีแต่ LINE ที่ส่งกันไปส่งกันมาเท่านั้น

เพียงแค่นี้ก็น่าจะทำให้เรามีสติยั้งคิดแล้วว่า ข่าวที่ว่านี้น่าจะไม่มีมูล และไม่ควรใส่ใจส่งต่อไปอีก ด้วยวิธีการที่ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วที่เราเรียกว่าการแชร์ข้อมูล ขยับนิ้วเพียงไม่กี่ครั้งข้อมูล (เท็จ) เรื่องรัฐบาลจะล็อกดาวน์ประเทศไทยช่วงปีใหม่ก็จะถูกส่งต่อไปอย่างง่ายดายแล้ว จากนั้นความสับสนวุ่นวายก็จะเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ

วิเคราะห์ได้เพียงนี้แล้ว ก็ไม่ควรถือเรื่องนี้ไว้เป็นความกังวลในหัวใจ โยนทิ้งไปเสียก็ได้ครับ

 

เพื่อนของผมคนหนึ่งอยู่ต่างจังหวัด เห็นจะเป็นผู้มีเวลาว่างมากพอสมควร จึงใส่ใจกับข้อมูลทุกอย่างที่ได้รับมาทาง LINE ว่าเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง แต่ละวันต้องเสียเวลาไม่น้อยกับการขวนขวายหาข้อมูลเพิ่มเติมทั้งๆ ที่ควรจะตัดประเด็นทิ้งไปได้นานแล้ว

บางครั้งก็โทรศัพท์มาสอบถามที่ผม จนผมต้องแนะนำว่า ข้อมูลบางอย่างเพียงอ่านผ่านตาก็พอแล้ว ไม่ต้องเก็บมาอยู่ในใจในสมองของเรา ทำอย่างนี้ได้จะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกมาก มีเวลาไปปลูกต้นไม้ ดูดอกไม้ตามใจปรารถนา ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องลวงโลกเช่นนี้

สำหรับตัวผมเองถือหลักประจำใจว่า ข้อแรก เรื่องราวหรือภาพที่ผมได้รับมาและผมจะแชร์ต่อไป ต้องเป็นเรื่องที่ผมมีความมั่นใจว่าเป็นความจริง มีหลักฐานประกอบน่าเชื่อถือตามสมควร เวลาส่งต่อไป อย่าลืมว่าผู้รับสารย่อมเห็นว่าเป็นข้อมูลที่มาจากผม เพราะปรากฏชื่อผู้ส่งอยู่ในระบบ LINE ทุกครั้งไป

ชะดีชะร้ายผมอาจจะเป็นคนที่ไปเพิ่มน้ำหนักให้กับข่าวเท็จนั้นก็เป็นได้

บ่อยครั้งในกลุ่ม LINE ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ ผู้ที่แชร์ข่าวสารมาให้ผมได้อ่านพร้อมกันกับพวกเพื่อนอีกนับสิบนับร้อยคน เคยรับราชการหรือทำงานอยู่ในตำแหน่งใหญ่โต เป็นอธิบดีเป็นหัวหน้าคนมาเป็นอันมาก

ไม่น่าเชื่อเลยครับว่าพี่ๆ เหล่านั้น เวลานี้เลอะเลือนเสียมากแล้ว ข่าวสารบางเรื่องอ่านแล้วไม่ต้องคิดอะไรมากก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ พี่ก็ยังส่งมาให้เราอ่าน

ไม่รู้จะสงสารใครดี ระหว่างสงสารพี่ผู้แชร์ กับผมผู้รับข่าวสารอยู่ปลายทาง

ตรงนี้ผมมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ข่าวสารที่เลอะเทอะและส่งต่อกันมานั้น จำนวนไม่น้อยเป็นประเด็นที่บ่งนัยหรือเกี่ยวข้องด้านการเมือง เมื่อเป็นแง่มุมทางการเมืองที่ตรงกับจริตหรือวิธีคิดของใครแล้ว

ใครคนนั้นย่อมมีความเชื่อเป็นเบื้องต้น และมีความแชร์เป็นเบื้องปลาย

เพราะช่างเป็นข่าวสารที่ตรงกับใจของเราเหลือเกิน เรื่องนี้ต้องเป็นความจริงสิ และควรจะให้รู้กันมากๆ จะได้ทำให้คนหูตาสว่างแบบเรา ดังนั้น จึงต้องใช้นิ้วของเราให้เป็นประโยชน์ในการแชร์ข้อมูลออกไปให้เร็วที่สุดและกว้างขวางที่สุด กลุ่มเดียวไม่พอ เราเป็นสมาชิกกี่กลุ่มก็ต้องแชร์ออกไปให้ครบถ้วน

 

หลักข้อที่สองสำหรับผมก่อนที่จะแชร์ข้อมูลอะไรออกไป นอกจากความน่าเชื่อถือว่าเป็นเรื่องที่มีหลักมีฐานตามสมควรแล้ว ผมยังนึกต่อไปอีกชั้นหนึ่งว่าควรแชร์หรือควรส่งต่อให้ใครบ้าง เพราะไม่ใช่ว่าทุกเรื่องที่เราสนใจ คนอื่นเขาจะสนใจเหมือนกันนะครับ

โบราณที่ไหนก็ไม่รู้เคยบอกผมว่า ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี

เอ๊ะ! จะเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ก็ไม่รู้

แต่เราอาจจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ข้อความที่ส่งไปจากเรา ผู้ที่เป็นเพื่อนของเราย่อมเห็นว่ามีคุณค่าและมีความหมาย อย่างน้อยเขาก็จะสละเวลาอ่าน และรับไว้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลในระบบสมอง เราถึงต้องรับผิดชอบต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นส่วนนี้ด้วย

ผมไม่ควรทำให้เพื่อนผมเสียเวลาอ่านขยะ และเก็บขยะไว้ในสมองเพิ่มขึ้น

เพราะในสมองของผมและสมองของเพื่อนมีขยะมากพอแล้ว ฮา!

 

ที่พูดมาเยิ่นเย้อทั้งหมดนี้ สรุปได้ความเพียงสั้นนิดเดียวว่า ข้อมูลที่มาในระบบออนไลน์ต้องรับฟังด้วยวิจารณญาณที่รอบคอบ

อย่าหลงเชื่อหลงคิดว่าเป็นความจริงเสมอไป ควรมีการสอบทานตามสมควร

และถ้าเราจะส่งต่อไปให้ใครอื่นได้อ่านได้รู้ด้วยแล้ว ยิ่งต้องระมัดระวังให้จงหนัก

มิฉะนั้นแล้วเราอาจจะเป็นเหยื่อหรือเป็นเครื่องมือของการสร้างข่าวลวงข่าวเลอะก็ได้

สรุปของสรุปอีกทีก็คือ ขอให้มีสติให้มาก

คำว่าสติกับปัญญามักใช้คู่กันอยู่เสมอ และผมได้เห็นอยู่บ่อยครั้งว่าผู้ใดขาดสติ มักจะทำให้เกิดผลตามมาคือปัญญาบกพร่องเสมอ

นี่ก็ใกล้ปีใหม่มากแล้ว ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านเจริญด้วยสติและปัญญาเพียบพร้อม คุ้มครองตนให้รอดปลอดภัยจากข่าวลวงทั้งหลาย ตลอดปีใหม่และตลอดไปด้วยเทอญ