เรื่องสั้น : ตู้กดน้ำ

“เอ่อ โทษนะครับ ตู้กดน้ำตรงนี้หายไปไหนแล้วอ่ะครับ”

“บริษัทมายกไปซ่อมเมื่อวาน”

“แล้วมันจะกลับมาอีกมั้ยครับเนี่ย”

“ไม่รู้สิ มันเก่ามากแล้วนะรุ่นนี้ เห็นว่าถ้าซ่อมไม่ได้คงเอารุ่นใหม่มาลงแทน รุ่นเดียวกับที่อยู่ในห้าง”

พอได้ลองกดครั้งแรกก็ติดเป็นนิสัย จนต้องเดินมากดน้ำอัดลมจากตู้นี้ทุกวัน ผมจำไม่ได้แล้วว่ากดครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่จำได้ดีว่าใครเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักตู้นี้

–พี่เคยกดน้ำที่ตู้ยัง

“ยังเลย มีด้วยเหรอ”

–เดี๋ยวพาไป

“โห มีตู้แบบนี้ที่นี่ด้วย โคตรชอบตู้กดน้ำเลย”

–เราชอบลงมากดเวลาเบื่องาน เวลาอยากลาออกก็ลงมากดน้ำทีหนึ่ง รู้สึกผ่อนคลายก็ขึ้นไปทำงานต่อ

จากวันนั้นแทบทุกวันผมจะแวะเวียนมาที่ตู้กดน้ำ หยอดเหรียญ ยืนมองแถวเครื่องดื่มในตู้อย่างตื่นเต้น ทั้งที่แถวเครื่องดื่มเหล่านั้นก็แถวเดิม -ช่วงเวลาแห่งความสุข- หมดลงอย่างรวดเร็วเมื่อผมเลือกเครื่องดื่มได้สักกระป๋อง

เธอชอบกดน้ำจากอีกตู้ที่อยู่ข้างๆ กัน เธอเลือกโคล่าใส่น้ำแข็งเสมอ ผมแอบมองตอนเธอหยอดเหรียญและกดปุ่มเลือกเครื่องดื่มทันที เธอรู้อยู่แล้วว่าเธอจะเลือกอะไร ผมหลงรักช่วงเวลาที่เธอก้มลงหยิบแก้วจากช่องรับของ มันเป็นท่วงท่าที่น่าประทับใจ เวลาที่ลงมากดน้ำพร้อมเธอเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับผมเสมอ เราจะยืนคุยกันข้างๆ ตู้กดน้ำ คุยสัพเพเหระ ในมือถือเครื่องดื่มของตัวเอง ก่อนจะแยกย้ายกลับไปทำงาน

บ่ายวันหนึ่งที่เราลงมาเจอกันที่ตู้กดน้ำ เธอแต่งตัวสวย ไม่บ่อยที่จะแต่งตัวสวยแบบนี้ ส่วนใหญ่เธอแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ อาจจะมีงานนอกออฟฟิศ หรืออาจมีนัดหลังเลิกงาน ผมไม่ได้บอกเธอทันที แต่ส่งเมสเซจหาเธอหลังจากกลับถึงโต๊ะทำงาน เรามักจะพูดคุยกันผ่านเมสเซจ–ข้อความที่ถ่ายทอดความรู้สึกได้เพียงครึ่ง แต่ก็มากเกินกว่าจะกล้าพูดต่อหน้า บางวันผมรอข้อความของเธอทั้งวัน บางวันเธอไม่เมสเซจมา

–กลับมาแล้ว วันนี้ไปกินข้าวกัน

“โอเค เจอกันสักบ่ายโมงนะ”

กินข้าวกลางวันเรียบร้อย ก่อนขึ้นทำงานเราจะแวะกดน้ำที่ตู้กันก่อน และยืนคุยตรงที่เดิม เธอไม่ได้พูดอะไรที่แปลกไป เราคุยกันเหมือนเคย เรื่องทั่วไป สัพเพเหระ แต่ถ้าจะบอกว่าผมรู้สึกได้ รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ อาจจะเป็นน้ำเสียงของบางคำแปลกไป ผมจึงเกิดความรู้สึกอยากพูดอะไรบางอย่างกับเธอ อยากพูดเหมือนรู้สึกว่าเดี๋ยวจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เราแยกกลับไปทำงาน

ถึงโต๊ะทำงาน ผมเมสเซจหาเธอ

“พี่ว่า พี่…ชอบเรา”

“ดูไม่มั่นใจ”

“อือ ไม่มั่นใจ พี่ว่าพี่ไม่ควรบอก แต่ก็พิมพ์ไปแล้วอ่ะนะ”

“เรา…มีแฟนแล้ว”

“รู้ เคยเห็นรูป ผู้ชายในแบบที่พี่เป็นไม่ได้ แต่อยากเป็น”

“ทำไมอ่ะ แบบพี่ก็ดีนี่”

“แฟนเราเท่ดี”

“ก็ไม่ขนาดนั้น พี่ก็เท่นะ เท่แบบพี่”

“เอ่อ โทษนะครับ ตู้กดน้ำตรงนี้หายไปไหนแล้วอ่ะครับ”

“บริษัทมายกไปซ่อมเมื่อวาน”

“แล้วมันจะกลับมาอีกมั้ยครับเนี่ย”

“ไม่รู้สิ มันเก่ามากแล้วนะรุ่นนี้ เห็นว่าถ้าซ่อมไม่ได้คงเอารุ่นใหม่มาลงแทน รุ่นเดียวกับที่อยู่ในห้าง”

“จำที่เคยบอกได้มั้ย เรื่องไปเรียนต่อ”

“พี่ชอบเรา”

“อีกนานกว่าเราจะกลับมา”

“ตู้กดน้ำมันถูกยกไปแล้วนะเมื่อวานนี้ ไม่รู้จะซ่อมได้มั้ย”

–พี่กลับยัง

“ยังเลย แต่ใกล้ละ รอมั้ย”

–รอ

“ขอสิบนาที เดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน”

ผมเปิดไฟฉุกเฉินและค่อยๆ จอดรถริมทางด้านซ้าย เธอประหลาดใจหันมามองหน้า จอดได้เหรอพี่ เธอพูดกับผมแต่สายตามองออกไปไกลผ่านหน้าต่างด้านซ้าย ไกลออกไปเลียบแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำ ออกไปนั่งเล่นกัน ผมชวนเธอ บิดกุญแจดับเครื่องยนต์รถ ไฟเลี้ยวสองข้างกะพริบพร้อมกันให้สัญญาณฉุกเฉิน ผมเดินมาเปิดกระโปรงท้ายรถให้สัญญาณรถคันอื่นว่าจอดเพราะมีเหตุฉุกเฉิน

รถของผมหยุดนิ่งอยู่กลางสะพานแขวนสูงจากพื้นน้ำด้านล่างหลายสิบเมตร เธอเปิดประตูออกมา เดินไปหยุดยืนที่ราวสะพาน เหม่อมองความงามของเจ้าพระยายามค่ำ แสงไฟระยิบจากสองฝั่ง และเรือลำเล็กที่ยังล่องผ่านไปมา

ผมเดินเข้าไปหาเธอ ชวนนั่งลงกับพื้น ห้อยขาไปในอากาศเวิ้งว้างด้านล่าง หากมองมาจากฝั่งตรงข้าม จะเห็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งราวกับนั่งอยู่หลังซี่ลูกกรง เป็นสัตว์ที่ถูกขังเอาไว้ให้ใครๆ มาชื่นชม

ลมเย็นๆ พัดพรูผ่านเราสองคน เย็นสบาย สดชื่น กลิ่นแม่น้ำหรืออะไรสักอย่างทำให้รู้สึกสดชื่น ผมเกล็ดบุหรี่ออกจากซองส่งให้เธอ และเสียบเข้าปากตัวเองอีกมวน ไม้ขีดไฟส่งเสียงฟู่เบาๆ พร้อมไฟลุกโชน ผมจ่อเปลวไฟให้บุหรี่ที่ริมฝีปากเธอ และรีบต่อให้ตัวเอง ควันจากเราสองคนลอยขึ้นและจางหายไปอย่างรวดเร็ว เธอยังคงมองภาพเบื้องหน้าอย่างใจจดจ่อ ผมแอบมองเธอจากด้านข้าง ผมรักเวลาที่ได้นั่งมองเธอคีบบุหรี่ด้วยนิ้วชี้และกลาง เป็นความหลงใหลประหลาดๆ ของตัวเอง ผมเคยบอกเธอไปครั้งหนึ่ง เธอยิ้ม

–วันนี้เซ็งๆ ไม่อยากกลับบ้านเลย

–งานหรือคน

–ช่างมันเถอะ

–พี่ว่าตอนนี้เหมาะกับเพลงอะไร

–Gravity

–จอห์นเหรอ

–กีตาร์บลูส์หน่อยๆ แล้วเราคิดถึงเพลงอะไร

–เศร้าจัง พี่เศร้าแบบนี้ตลอดเลยเหรอ แล้วใครจะอยู่กับพี่ได้วะเนี่ย

–นั่นสิ แต่วันนี้ก็มีเราไง

–เราเจอแฟนครั้งแรกตอนเขาเล่นเพลงนี้ที่ร้านเพื่อน

–เพลงไหน กราวิตี้?

–เขาชอบบลูส์ แปลกดีที่พี่คิดถึงเพลงนี้

–น่าจะมีตู้กดน้ำตรงนี้เนอะ อยากกดกาแฟเย็นสักแก้ว

–ฮ่าๆ พี่ก็บ้า ตู้กดน้ำมันจะอยู่กลางสะพานแบบนี้ได้ไง เออ แต่ถ้ามีก็ดี อยากกดโคล่าใส่น้ำแข็ง

ผมขับรถไปส่งเธอที่บ้าน เราต่างเงียบกันไปตลอดทาง ผมมองถนนตรงหน้า เธอมองหาอะไรสักอย่างผ่านหน้าต่างด้านซ้าย คืนนี้กำลังจบลงอย่างเรียบง่าย เป็นช่วงท้ายๆ สำหรับเรา

–พี่ชอบรอยสักเรา

–อันไหน

–ตรงเนินอก

–เคยเห็นเหรอ

–เห็นในรูปที่เราถ่ายคู่แฟน มีความหมายมั้ย

–มันคือ ซาน ที่อยู่ในชื่อ ออง ซาน ซูจี

–พี่อยากสักตรงนี้

–เราว่าพี่สักตรงนี้สวยกว่า พี่แขนยาวสักแล้วสวย พี่จะสักอะไร

–ไม่รู้สิ เราว่าไง

ผมจอดรถส่งเธอหน้าบ้าน รอจนเธอเปิดประตูเข้าบ้าน ผมขับรถย้อนกลับทางเดิม กลับไปที่ออฟฟิศ อยากจะกลับไปจัดการงานที่ทิ้งออกมาเพื่อไปกับเธอให้เสร็จ ครึ่งชั่วโมงผมกลับมาถึงออฟฟิศ ขณะกำลังถอยรถเข้าที่จอด ผมเห็นรถของเธอจอดอยู่ใกล้ๆ

บางคำถามไม่ได้มีอยู่เพื่อให้รู้คำตอบ ล่องลอยอยู่ในอากาศปะปนกับลมหายใจ การมีอยู่ของมันบางครั้งก็เพื่อหล่อเลี้ยงความหวังเอาไว้ ความหวังที่ล่องลอยราวกับสายลมอุ่นของบ่ายวันอาทิตย์

ถ้าไม่มีแฟน เราจะชอบพี่มั้ย

ผมยืนมองตู้กดน้ำแต่ไม่เห็นอะไรจากระยะสายตา เป็นภาพเบลอไร้จุดโฟกัส ฟังเสียงเครื่องทำงานหลังจากกดกาแฟโอเล่เย็นราคา 8 บาท เวลาไม่กี่วินาทีที่แก้วกระดาษวางลงในช่อง น้ำแข็งก้อนเล็กร่วงลงในแก้ว กาแฟค่อยๆ เติมจนพอดีขอบแก้ว ไฟสีแดงแสดงสัญลักษณ์ว่ากระบวนการทำงานกำลังดำเนินไปดับลง กลับยาวนานราวกับไม่มีวันจะสิ้นสุดเมื่อผมยืนอยู่เพียงลำพังหน้าตู้กดน้ำ

วันที่มีเธอยืนอยู่ด้วยจะเร็วกว่านี้ ล้อกับคำพูดว่าเวลาแห่งความสุขผ่านไปรวดเร็วเสมอ

คงประหลาดที่จะคิดถึงใครสักคนผ่านตู้กดน้ำ แต่มันจะต่างอะไรกับการคิดถึงใครสักคนผ่านรูปถ่าย สิ่งยืนยันว่าการอยู่ด้วยกันของเราเป็นเรื่องจริง ภาพเธอก้มลงหยิบแก้วโคล่าเย็นจากตู้ประทับในหัวใจไม่ลืม

“พี่ชอบโคล่ากระป๋อง ชอบเสียงตอนมันกลิ้งลงมาตรงช่องรับของ”

“เราชอบแบบใส่น้ำแข็งมากกว่า ชื่นใจดี”

พอไม่ได้เจอกันหลายวัน ก็เหมือนว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน ราวกับคนไม่รู้จักกัน ผมไม่มีเบอร์โทร.ของเธอ ไม่มีไลน์ เราจะติดต่อกันผ่านกล่องข้อความเฟซบุ๊ก กล่องซึ่งว่างเปล่ามาหลายวัน พอเป็นอย่างนั้นเลยเหมือนว่าเราไม่เคยคุยกัน ไม่เคยรู้จักกัน จนกว่าข้อความอย่าง กินข้าวมั้ย ถึงออฟฟิศยัง จะปรากฏขึ้นมาในกล่องข้อความ จึงจะทำให้ความจริงเชื่อมต่อถึงกันอีกครั้ง หรือไม่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผมยืนอยู่หน้าตู้กดน้ำ

ผมตัดสินใจพิมพ์ข้อความ วันนี้ลองกาแฟแบบใหม่ โอเล่เย็น ดีนะ

ข้อความถูกอ่านอย่างรวดเร็ว เธอกำลังพิมพ์ข้อความตอบกลับ ผมยิ้ม ยังยืนอยู่หน้าตู้กดน้ำ แต่ข้อความของเธอก็ไม่ปรากฏสักที ครู่หนึ่งกล่องข้อความกลับมาว่างเปล่าเหมือนเดิม มีเพียงข้อความจากผมคว้างอยู่ในนั้น

ผมหยอดเหรียญห้าบาทลงไป กดเลือกโคล่าเย็น ผมจิบกาแฟโอเลเย็นในมือซ้าย ยืนฟังเสียงเครื่องทำงาน รอให้แก้วกระดาษวางลงในช่อง น้ำแข็งก้อนเล็กโรยตัวลงมาในแก้วจนเต็ม โคล่าค่อยๆ รินเต็มจนพอดีแก้วใบเล็ก ไฟสีแดงดับลง ผมหยิบแก้วโคล่าเย็นออกมาจากช่องรับของด้วยมือขวา เห็นภาพตัวเองก้มลงหยิบแก้วโคล่าเย็นทาบทับกับภาพของเธอพอดี

บางครั้งผมก็อยากรู้ ความคิดถึงของผมใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะไปถึงเธอ

กล่องข้อความของเราว่างเปล่ามาหลายวัน น่าจะหลังจากเธอกลับจากงานที่ต่างประเทศ ข้อความสุดท้ายที่ค้างอยู่เป็นข้อความจากผม กลับบ้านรึยังวันนี้ เธออ่านแต่ไม่ตอบ หลังจากวันนั้นกล่องข้อความก็ว่างเปล่ามาตลอด

ผมเริ่มติดนิสัยกดน้ำจากตู้ของเธอ ตู้ของผมเป็นเครื่องดื่มกระป๋องและขวดพลาสติก ผมชอบเสียงเวลากระป๋องกลิ้งลงมาที่ช่องรับของ ตู้กดน้ำของผมวางคู่กับตู้ของเธอ เป็นตู้ที่มีแต่เครื่องดื่มแก้ว เธอชอบกดโคล่าใส่น้ำแข็ง ผมชอบยืนฟังเวลาน้ำแข็งหล่นลงมาในแก้ว ตามด้วยเสียงน้ำโคล่ารินเติมจนเกือบเต็ม ผมเลิกกดน้ำอัดลมกระป๋องมากดโคล่าใส่น้ำแข็งจากตู้ของเธอตั้งแต่วันที่เราไม่ได้เจอกันอีก

ผมยืนฟังเสียงน้ำแข็งเติมลงในแก้วและคิดถึงเธอ คงประหลาดที่จะคิดถึงใครสักคนผ่านเสียงน้ำแข็งหล่นลงในแก้ว แต่มันจะต่างอะไรกับการคิดถึงใครสักคนผ่านรูปถ่าย

ผมเฝ้ามองกล่องข้อความ แวะเข้าไปเปิดอ่าน และพบว่ามันว่างเปล่าไม่มีข้อความใหม่ ผมอยากทำอะไรสักอย่าง แต่พอคิดได้ว่าเธออ่านข้อความสุดท้ายจากผมและไม่ตอบกลับ ผมก็คิดว่าไม่ควรทำอะไรมากไปกว่านี้ คงมีความจำเป็นอะไรสักอย่างเกิดขึ้น และคงไม่ใช่เรื่องที่ผมควรไปก้าวก่าย

ผมลงมากินข้าวเที่ยงตอบเกือบบ่ายโมงครึ่งทุกวัน มันเป็นช่วงเวลาที่คนน้อยและมีโต๊ะว่างเยอะ เราจะได้มีเวลาคุยกันนานๆ ไม่ต้องเกรงใจคนมาใหม่ที่จะรอต่อคิวใช้โต๊ะ แต่พอต้องกินข้าวคนเดียว ผมก็ยังลงมาเวลาเดิม น่าแปลกที่ผมไม่เคยบังเอิญเจอเธอลงมากินข้าวกับเพื่อนเลยสักครั้ง ผมรู้ว่าเธอยังทำงานที่นี่ และยังหวังเสมอว่าจะบังเอิญเจอกันอีกสักครั้ง บังเอิญเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน วันที่ผมมาทำงานเป็นวันที่สอง เรายืนคุยกันหน้าตึกเกือบครึ่งชั่วโมง เวลาผ่านไปรวดเร็วแต่กลับทรงจำอยู่ในหัวใจแสนนาน

ผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้กดน้ำ หยอดเหรียญห้าบาท กดเลือกโคล่าเย็น ยืนรอคอยฟังเสียงน้ำแข็งเติมลงในแก้ว เสียงที่เคยได้ยินอย่างมีความสุข วันนี้กลับฟังแล้วเศร้า โคล่าเติมลงเต็มแก้ว ผมจิบไปได้นิดเดียวแล้วทิ้งลงถังขยะ ผมกดลิฟต์ขึ้นไปทำงานต่อ กล่องข้อความยังคงว่างเปล่า

บางทีแบบนี้อาจถูกต้องที่สุด ผมอาจจะล้ำเส้นความสัมพันธ์ไร้ชื่อของเรามากเกินไป เธออาจกำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะปฏิเสธผมโดยที่ไม่ต้องมีการสูญเสียมากมาย

การเงียบหายใช้พลังน้อยกว่าแต่ก็บาดเจ็บมากกว่า ถ้าถามผม บอกความจริงตรงๆ ใช้พลังมากกว่าแต่ก็อาจลดการสูญเสียได้บ้าง ผมเริ่มฟุ้งซ่านไปไกล

หรือเป็นเพราะผมบอกเธอไปว่าคิดถึงเหลือเกิน หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันเลยเกือบสองอาทิตย์ เส้นแบ่งความสัมพันธ์ของเราอาจบางเพียงแค่คำว่าคิดถึง ตอนนี้เส้นสมมตินั้นคงเพิ่งจะขาดลงไป ผมคิด ถ้าเราได้เจอกันอีกหรือมีข้อความจากเธอ คำไหนที่ผมจะบอกเธอเป็นคำแรก ผมจะไม่พูดคำว่าคิดถึงอีกแล้ว ผมอาจจะบอกเธอว่า โคล่าเย็นใส่น้ำแข็งดีที่สุด

เกือบสองทุ่ม ผมเดินออกจากลิฟต์ล้วงเหรียญห้าจากกระเป๋ากางเกง เปิดประตูกระจกด้านหลังตึกไปที่ตู้กดน้ำ ผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้กดน้ำตัวเอง มีที่ว่างขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่ข้างตู้กดน้ำของผม ตู้กดน้ำของเธอหายไป ผมเดินย้อนกลับไปที่เคาน์เตอร์ในตัวอาคาร ถามเจ้าหน้าที่ที่เข้ากะดึก

“ตู้กดน้ำอีกตู้ไปไหนล่ะครับ”

“บริษัทเพิ่งมายกไปตอนหกโมง”

“เอาไปซ่อมเหรอครับ”

“เห็นว่าจะเอากลับไปเลยนะ เดี๋ยวรถอีกคันจะกลับมาขนตู้นี้ไปด้วย”

ผมเดินย้อนกลับไปที่ตู้กดน้ำอีกรอบ หยิบแบงก์ยี่สิบจากกระเป๋ากางเกง ใส่ในช่องรับเงิน กดเลือกโคล่ากระป๋อง ยืนรอฟังเสียงกระป๋องกลิ้งลงมาที่ช่องรับของ ฟังคล้ายเสียงกระซิบลาจากใครบางคน ผมหยิบโคล่ากระป๋อง เปิดและนั่งลงดื่มที่ฟุตปาธ นั่งรอรถที่จะกลับมารับตู้กดน้ำของผมกลับไป

…หรือว่าผมกำลังนั่งรอใครสักคน