‘FEED RETRO’ : ‘เพลงยุค 90’ มีอะไรมากกว่านั้น!

คนมองหนัง

ผ่านพ้นไปแล้วเรียบร้อย สำหรับงาน “FEED RETRO Music • Talk • Food • Book • Trip : #90sไม่นานมานี้” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน ณ มิวเซียมสยาม

ไฮไลต์หลักที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ร่วมงานจำนวนนับพันนับหมื่นราย ได้เป็นอย่างมาก ก็คือ กิจกรรมการแสดงดนตรีที่มีคุณภาพและมอบความบันเทิงได้ตลอดทั้งสามวัน

เริ่มต้นในคืนวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน เวลา 19.30 น. ที่กิจกรรมดนตรีของงาน FEED RETRO ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยโชว์ในโปรเจ็กต์ “ทีโบน อรูทสติก”

โดยสองสมาชิกแกนหลักของ “ทีโบน” วงดนตรีแนวเร็กเก้-สกายุคบุกเบิกของเมืองไทย อย่าง “นครินทร์ ธีระภินันท์” (กอล์ฟ-กีตาร์) และ “เจษฎา ธีระภินันท์” (แก๊ป-กีตาร์และร้องนำ) พร้อมด้วยเพื่อนพ้องนักดนตรี ได้แก่ “ฐาณิศร์ สินธารัตนะ” (กีตาร์, แลปสตีลกีตาร์, แมนโดลิน), “วรุตม์ สมานทรัพย์” (ทรัมเป็ต), “เบญจสิทธิ์ พิชัยชม” (เบส) และ “ปฏิรูป สุภัทรดิลกกุล” (กลอง) ได้นำเพลงเด่นๆ ของทีโบน และเพลงที่สมาชิกหลักของทีโบนเคยแต่งให้ศิลปินรายอื่น มาบรรเลงในสไตล์อะคูสติก

แน่นอนว่าแฟนเพลงจะได้ฟังเพลงเพราะๆ เพลินๆ อย่าง “แรงดึงดูด” “เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม” “อย่าสัญญา” และ “คิดถึงลมหนาว” (ท่ามกลางอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวปลายปี) ทว่า ดนตรีอะคูสติกแบบ “ทีโบน อรูทสติก” ก็สามารถร้องบรรเลงเพลง “โต๋ล่งตง” ที่ทั้งสนุกสนาน คึกคัก จนทำให้คนดูโยกและลุกขึ้นเต้นได้

เป็นที่ประจักษ์ชัดตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาว่า โชว์เต็มรูปแบบของ “ทีโบน” รวมถึงโปรเจ็กต์พิเศษต่างๆ ของสมาชิกในวงนั้น ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยนักดนตรีฝีมือโดดเด่นยอดเยี่ยม

ในโชว์ “ทีโบน อรูทสติก” นอกจากแฟนๆ จะได้สัมผัสกับความเชี่ยวชาญและความเป็นเลิศของคนดนตรีรุ่นเก๋าอย่างกอล์ฟและแก๊ปแล้ว หลายคนยังทึ่งกับทักษะของนักดนตรีรุ่นใหม่ๆ เช่น ฐาณิศร์ นักดนตรีผู้มีความสามารถหลากหลาย ซึ่งเพิ่งได้รับรางวัล “เบสต์ เอเชียน ครีเอทีฟ อาร์ติสต์” จากงานประกาศรางวัล “เดอะ โกลเดน อินดี้ มิวสิก อวอร์ดส์” ของไต้หวัน

 

ถัดมาในวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน งาน FEED RETRO ก็จัดเพลงเพราะยุค 80-90 มาเสิร์ฟให้คนฟังหลากรุ่นหลายวัยบริเวณลานสนามหญ้าหลังมิวเซียมสยาม ได้รับฟังอย่างต่อเนื่อง

เริ่มต้นด้วย “วิยะดา โกมารกุล ณ นคร” ดีว่าคนแรกๆ ของเมืองไทยที่สร้างชื่อด้วยผลงานแนวป๊อปแจ๊ซเก๋ๆ ซึ่งมาพร้อมเพลงเก่งประจำตัว เช่น “เพียงแค่ใจเรารักกัน” “ขอจันทร์” และ “คนพิเศษ” ในเวลาห้าโมงเย็น

ต่อด้วยโชว์ของคู่ดูโอที่อยู่คู่วงการเพลงไทยมาร่วมสี่ทศวรรษในนาม “เบิร์ดกะฮาร์ท” ซึ่ง “เบิร์ด-กุลพงษ์ บุนนาค” และ “ฮาร์ท-สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล” ได้นำเอาเพลงอมตะของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น “ไม่ลืม” “ฝน” “รอรัก” “เพื่อนกัน” และ “ไม่ลืม” มาขับกล่อมแฟนเพลง แถมยังมีโบนัสพิเศษ อาทิ การร้องเพลง “เป็นไปไม่ได้” ของ “ดิ อิมพอสซิเบิล” ในเวอร์ชั่นพากย์อังกฤษ

หลายคนตระหนักดีอยู่แล้วว่า วิยะดา เบิร์ด และฮาร์ท นั้นเป็นนักร้อง-นักดนตรี ที่มีผลงานเพลงเพราะ-เพลงดังจำนวนมาก แต่สิ่งที่ทุกคนที่มิวเซียมสยามได้สัมผัสอย่างชัดเจนอีกประการ ก็คือ ความเป็น “เอนเตอร์เทนเนอร์” ผู้รังสรรค์ความบันเทิงและอารมณ์ขันได้อย่างยอดเยี่ยมของศิลปินทั้งสามราย

โมเมนต์ที่น่าจดจำอีกอย่าง คือ ในอีกสองวันถัดมา (27 พฤศจิกายน) จะเป็นวันที่เบิร์ดมีอายุครบ 60 ปี ส่วนฮาร์ทก็มีอายุครบ 59 ปี เพราะทั้งคู่มีวันคล้ายวันเกิดวันเดียวกัน

ส่วนใครที่รักวิยะดา ก็สามารถเข้าไปชมฝีมือการแสดงดีๆ ของนักร้องหญิงผู้นี้ได้ในเน็ตฟลิกซ์ กับซีรีส์น่าสนใจเรื่อง “Analog Squad ทีมรักนักหลอก” ที่คนดูหลายรายกำลังกล่าวขวัญถึง

 

ส่งท้ายด้วยบรรยากาศความประทับใจในวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน ประเดิมด้วยโชว์ของ “ปั่น-ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว” ศิลปินรายเดียวของงานนี้ที่มีอายุเกิน 70 ปี แต่พลังงานยังล้นเหลือ

พี่ปั่นนำเอาเพลงรักอมตะแทบจะครบเซ็ตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น “รักยืนยง” “รักนิรันดร์” “บอกรัก” “A Tu Corazon สู่กลางใจเธอ” “ส่องกระจก” “โอ้ใจเอ๋ย” ฯลฯ มาสร้างความบันเทิงให้แฟนๆ โดยที่เจ้าตัวได้เดินบุกเข้าไปร้องเพลงกลางฝูงชนนับพันคนอย่างเป็นกันเอง ผ่อนคลาย และรายล้อมด้วยความสุข

ก่อนจะปิดฉากงานอย่างสมบูรณ์แบบด้วยโชว์อะคูสติกของ “ธีร์ ไชยเดช” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มและสำเสียงการเล่นกีตาร์อันเป็นเอกลักษณ์ ที่นำเอาเพลงเพราะๆ ทั้งในสตูดิโออัลบั้มของตนเอง, เพลงคัฟเวอร์ และเพลงที่เจ้าตัวเคยร่วมงานกับศิลปินรายอื่น มาร้องแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น “สาป” “มากไปหรือเปล่า” “20202” “Home” “เพราะเธอ” และ “ก้อนหินละเมอ”

แม้ระหว่างโชว์ในช่วงค่ำปลายเดือนพฤศจิกายน จะมีฝนหลงฤดูโปรยปรายลงมา แต่แฟนพันธุ์แท้จำนวนไม่น้อยของธีร์ก็ไม่ยอมหนีหายไปไหน จนถึงขั้นวิ่งไปหลบฝนพร้อมศิลปินภายใต้เต็นท์เล็กๆ ยามเมื่อฝนเม็ดหนาซัดสาดเทกระหน่ำตอนช่วงใกล้จะจบการแสดง

 

อีกหนึ่งกลุ่มบุคคลสำคัญที่มีส่วนสร้างความไพเราะเพลิดเพลินตลอดทั้งสามวัน ในฐานะวงดนตรีแบ๊กอัพของ “วิยะดา-ปั่น” และวงดนตรีกลางที่นำเอาเพลงสากลเพราะๆ มาคัฟเวอร์ในสไตล์ของตนเองได้อย่างจัดจ้าน ระหว่างไม่มีศิลปินขึ้นโชว์ ก็คือ วง “Winkk Beats”

ประกอบด้วย “เด้อ-ชยพล ผิวพรรณ” มือคีย์บอร์ดมากประสบการณ์ ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมนักดนตรีสนับสนุนบนเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ “ความทรงจำของก้อนหิน” ของวง “โซลอาฟเตอร์ซิกส์” เมื่อปี 2562

“หนึ่ง-ณัฐวุฒิ พันธ์สายเชื้อ” มือกลองฝีมือดีที่ผ่านงานบันทึกเสียงและงานแสดงสดมาอย่างมากมายตลอด 2-3 ทศวรรษหลัง เกียรติประวัติสำคัญของณัฐวุฒิก็คือการเป็นสมาชิกของวงดนตรีไทยเดิมประยุกต์ “บอยไทย” ในยุคคลาสสิคไลน์อัพที่นำโดย “ป๋อม-ชัยยุทธ โตสง่า” ผู้ล่วงลับ

ร่วมด้วย “วิกกี้-บุณยวีร์ ไชยเกตุ” (ร้องนำ) “สยาม อำไพวรรณ” (กีตาร์) “สุระณรงค์ สงวนดี” (แซ็กโซโฟน) และ “ไพรัตน์ หนองริมบ้าน” (เบส)

นอกจากนั้น ในวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน วง “Winkk Beats” ยังได้มือกีตาร์รับเชิญรุ่นครูมาร่วมบรรเลงบทเพลงด้วย นั่นคือ “กัปตันโลมา-ธีรพงษ์ สวาสดิ์วงศ์” ผู้เคยออกผลงานโซโล่อัลบั้มกับสังกัด “สไปซี่ดิสก์” และเป็นมือกีตาร์หลักในทุกโชว์ของ “โซลอาฟเตอร์ซิกส์”

 

ทุกๆ โชว์ของศิลปินรุ่นเก๋าพร้อมด้วยนักดนตรีสนับสนุนเหล่านี้ สามารถฉายภาพวงการ “เพลงไทยยุค 90” ได้อย่างซับซ้อนหลากหลาย ผ่านข้อเท็จจริงบางประการ ได้แก่

หนึ่ง “เพลงไทยยุค 90” แยกไม่ขาดจากอุตสาหกรรมดนตรีช่วงตั้งไข่ในยุค 80 (ไม่ว่าจะเป็นค่าย “ครีเอเทียร์” หรือ “ไนท์สปอต”) ที่มีส่วนก่อร่างสร้างวัฒนธรรมเพลงป๊อปยุค “แกรมมี่-อาร์เอส” ขึ้นมา ทั้ง “ปั่น ไพบูลย์เกียรติ” “วิยะดา” และ “เบิร์ดกะฮาร์ท” คือ ผลผลิตของรอยต่อแห่งยุคสมัยเช่นนี้

สอง ศิลปินที่เริ่มทำงานในยุค 90 จำนวนไม่น้อย ยังผลิตผลงานใหม่ต่อเนื่องมาถึงหลังปี 2000 และหลายรายดูจะไต่ถึงจุดสูงสุดในทางวิชาชีพภายหลังสหัสวรรษใหม่ด้วยซ้ำ บทพิสูจน์ที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้ดี คือ เส้นทางดนตรีของ “ทีโบน” และ “ธีร์ ไชยเดช”

สาม “เพลงยุค 90” ไม่ได้มีแต่เพลงป๊อป เพลงวัยรุ่น แต่ยังเปิดทางเลือกใหม่ๆ ให้แก่คนฟังเพลงไทย เช่นที่เราได้รู้จักเพลงเร็กเก้-สกาของ “ทีโบน”

สี่ ยุคสมัยของ “เบเกอรี่ มิวสิค” กลางทศวรรษ 90 ทำให้สังคมไทยได้รู้จักสุ้มเสียงสำเนียงดนตรีใหม่ๆ จำนวนมาก แต่ “เพลงแบบเบเกอรี่” มิได้หมายถึงเพลงอัลเทอร์เนทีฟ เพลงฮิปฮอป หรือเพลงวัยรุ่นแบบโดโจซิตี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเพลงอะคูสติกสไตล์ “ธีร์ ไชยเดช” ด้วย

ห้า สปิริตสำคัญของ “คนดนตรียุค 90” คือศิลปินยุคนั้นจะสามารถยืนหยัดข้ามกาลเวลาหลายทศวรรษมาถึงยุคสมัยปัจจุบันได้ ก็ต่อเมื่อพวกเขายังคงทำงานหนักและมุ่งมั่นสร้างความบันเทิงใจรูปแบบต่างๆ ให้แก่สาธารณชนอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน ศิลปินทุกรายที่ขึ้นโชว์ในงาน FEED RETRO ต่างช่วยยืนยันถึงข้อเท็จจริงนี้

หก “วงการเพลงไทยยุค 90” ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยหน้าตา-น้ำเสียงของศิลปินดังๆ ที่พวกเราคุ้นเคย หรือสภาพการแข่งขันขับเคี่ยวกันทางธุรกิจของ “อากู๋-อาเฮีย” เท่านั้น

แต่เสียงเพลงจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นและยังโลดแล่นมีชีวิตชีวาอยู่อย่างไม่ขาดสาย ด้วยน้ำพักน้ำแรงของคนเบื้องหลังและนักดนตรีสนับสนุนจำนวนมาก ที่เราอาจไม่เคยรู้จักชื่อเสียงเรียงนามหรือเห็นหน้าตาของพวกเขาและเธอมาก่อน •

 

| คนมองหนัง