คนไทยมาจากชาวสยาม | สุจิตต์ วงษ์เทศ

คนไทยแท้ เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ ไม่มีในโลก แต่ถูกหลอกว่ามีจริงจากลัทธิชาตินิยมคลั่งเชื้อชาติ

คนไทย “ลูกผสม” มาจากสยาม หรือในทางกลับกันชาวสยามกลายตนเป็นคนไทย

(1.) ครั้งเริ่มแรกมีในอโยธยา (เมืองต้นกำเนิดอยุธยา) เรือน พ.ศ.1700
(2.) แล้วสืบเนื่องเป็นคนไทยในอยุธยา

พบหลักฐานลายลักษณ์อักษรเก่าสุดในเอกสารของลา ลูแบร์ (ราชทูตฝรั่งเศสที่ไปเจริญทางพระราชไมตรีกับอยุธยา แผ่นดินพระนารายณ์ฯ พ.ศ.2230-2231)

 

ชาวสยามเป็นคนไทย

ลา ลูแบร์ มีบันทึกว่า “ชาวสยามเรียกตนเองว่า ไทย (Tàï) แปลว่า อิสระ” (จดหมายเหตุลา ลูแบร์ แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร พ.ศ.2510 หน้า 27) แล้วบันทึกต่อไปอีกดังนี้

ชาวสยามเรียกตนเองว่าไทย และเรียกประเทศว่าเมืองไทย

ชาวสยามมี 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ (1.) สยามอยุธยา (2.) สยามใหญ่ หรือไทยใหญ่ (3.) สยามน้อย หรือไทยน้อย

เมื่อศึกษาหลักฐานสมัยหลังประกอบบันทึกของลา ลูแบร์ พบข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้

(1.) ชาวสยามที่เรียกตนเองว่าไทย มีพื้นที่จำกัดเฉพาะชาวสยามลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่อโยธยา-อยุธยา เท่านั้น

(2.) ไทยใหญ่กับไทยน้อยเป็นชื่อที่คนไทยในอยุธยาเรียกคนลุ่มน้ำสาละวิน (พม่า) และเรียกคนลุ่มน้ำโขง (ลาว) ซึ่งเป็นความเข้าใจของคนไทยสยามในอยุธยาเท่านั้นที่คิดเหมาว่า “เครือญาติชาติภาษาไท-ไต” เรียกตนเองว่าไทยและเป็นคนไทยเหมือนตน แต่คนลุ่มน้ำสาละวินและคนลุ่มน้ำโขงไม่เรียกตนเองตามที่คนลุ่มน้ำเจ้าพระยาตั้งให้ว่าไทยใหญ่, ไทยน้อย

ชาวสยามลุ่มน้ำสาละวินไม่เรียกตนเองว่าไทยใหญ่ แต่เรียกตนเองตามชื่อชาติพันธุ์ดั้งเดิม ได้แก่ เขิน, ยอง, มาว, คำตี่, แสนหวี, เชียงตุง ฯลฯ

ชาวสยามลุ่มน้ำโขงไม่เรียกตนเองว่าไทยน้อย แต่เรียกตนเองตามชื่อชาติพันธุ์ดั้งเดิม ได้แก่ ลาว, พวน, ภูคัง, ผู้ไท ฯลฯ

 

สยาม ดินดำน้ำชุ่ม

คําว่า “สยาม” ที่รู้จักและคุ้นเคยมานานมากนั้นเป็นรูปคำแบบบาลีที่แปลงจากคำพื้นเมืองว่า ซัม, ซำ หลังรับศาสนาพุทธ เถรวาท แบบลังกา เมื่อเรือน พ.ศ.1700

การแปลงคำพื้นเมืองเป็นบาลี (บางทีก็ว่าคำพื้นเมืองถูก “จับบวช” เป็นบาลี) ล้วนนิยมแพร่หลายในสมัยแรกมีการบันทึกความทรงจำเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อหลัง พ.ศ.2000 เช่น น้ำแม่ของ (แม่น้ำโขง) ถูกแปลงเป็นขลนที (หรือ ขรนที), น้ำแม่ปิง (แม่น้ำปิง) ถูกแปลงเป็นพิงคนที (หรือ รมิงคนที), น้ำมูน (แม่น้ำมูน) ถูกแปลงเป็นมูลนที

สยาม เป็นชื่อเรียกดินแดนหรือพื้นที่และชื่อเรียกชาวสยามที่เป็นคนพื้นเมืองบนพื้นที่นั้น ซึ่งมีรากจากคำพื้นเมืองบริเวณลุ่มน้ำสาละวิน-ลุ่มน้ำโขง จิตร ภูมิศักดิ์ สรุปว่า คำดั้งเดิมของสยามนั้นคือ ซำ หรือ ซัม. จากคำนี้เองที่ค่อยๆ พัฒนาไปป็น ซาม, เซม, เซียม, ซ๎ยาม, สยาม ฯลฯ ในภาษาอื่นๆ โดยรอบ และไปไกลจนกระทั่งกลายเป็นอาโหม ในภาษาพื้นเมืองอัสสัม

ดินแดนสยาม หมายถึงพื้นที่มีน้ำพุหรือน้ำผุดจากใต้ดิน ซึ่งบางท้องถิ่นเรียกน้ำซับน้ำซึม ครั้นนานไปๆ น้ำเหล่านั้นไหลนองเป็นหนองหรือบึงขนาดน้อยใหญ่ กลายเป็นแหล่งปลูกข้าว ในที่สุดทำนาทดน้ำ ผลิตข้าวได้มากไว้เลี้ยงคนจำนวนมาก ทำให้ชุมชนหมู่บ้านเริ่มแรกเมื่อติดต่อชุมชนอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลก็เติบโตเป็นเมือง

[สรุปจากหนังสือ ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ โดย จิตร ภูมิศักดิ์ มูลนิธิโครงการตำราฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519 หน้า 288-295]

ชาวสยามในอยุธยา (ลายเส้นจากจดหมายเหตุลา ลูแบร์)

ชาวสยาม หมายถึง ประชาชนในดินแดนสยาม มีลักษณะดังนี้

(1.) ลูกผสมประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ที่ต่างเรียกตนเองตามชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ของตน ซึ่งปัจจุบันรู้จักในนาม มอญ, เขมร, พม่า, มลายู, กะเหรี่ยง, ลาว ฯลฯ (แต่ละกลุ่มแยกย่อยเป็นหลายสาขาอย่างที่ถูกเรียก ข่า ฯลฯ)

(2.) ชาติพันธุ์เหล่านั้นพูดภาษาไท-ไต เป็นภาษากลาง เพื่อสื่อสารระหว่างชาติพันธุ์เมื่ออยู่นอกบ้านหรือในตลาด

(3.) คนเหล่านั้น “ไม่ไทย” หมายถึงไม่ใช่คนไทย เพราะไม่เรียกตนเองว่าไทย (แต่ต่อไปข้างหน้าเมื่อถึงสมัยรัฐอโยธยา จะมีบางกลุ่มเรียกตนเองว่าไทย และพูดภาษาไทย)

 

สยามในประวัติศาสตร์

พบหลักฐานเก่าแก่โดยการตรวจสอบของ จิตร ภูมิศักดิ์ (จากหนังสือ ความเป็นมาของคำสยามฯ พ.ศ.2519) ดังนี้

1. จารึกเจินละ (กัมพูชา) พ.ศ.1182 ข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงการอุทิศที่นาถวายเป็นกัลปนาแก่ศาสนสถาน โดยระบุชื่อผู้ถวายว่า โปญฺ สฺยำ หมายถึง (เมื่อเทียบเคียงตามประเพณีแล้ว) นายเสียม (หรือนายสยาม) แสดงว่าผู้ถวายที่นาเป็นพวกสยาม หรือ ชาวสยาม

2. จารึกจามปา เมืองญาตรัง (เวียดนาม) พ.ศ.1593 กล่าวถึงกษัตริย์จามปาอุทิศทาส 55 คน ถวายเป็น “ข้าพระ” ของเทวรูป “เจ้าแม่” ข้าทาสจำนวนนี้มีชาวจาม, เขมร, จีน, พุกาม และสยาม

3. ภาพสลัก “เสียมกุก” บนระเบียงปราสาทนครวัด พ.ศ.1650 เป็นขบวนแห่ของชาวสยามในพิธีกรรมของราชสำนักเมืองพระนคร

4. เอกสารจีน พ.ศ.1825 ระบุชื่อเสียน หมายถึงดินแดน (ประเทศ) สยาม [แต่เดิมเข้าใจว่าเสียนในเอกสารจีนหมายถึงสุโขทัย ต่อมาพบว่าไม่ใช่ เพราะแท้จริงหมายถึงสุพรรณภูมิ (จ.สุพรรณบุรี)]

 

“สยาม” ถูกจับเป็นอินเดีย

สยาม ถูกจับเป็นอินเดียมาจากภาษาสันสกฤต แปลว่าสีดำ, สีคล้ำ, สีทอง ฯลฯ เป็นความเห็นดั้งเดิมที่แพร่หลายมากที่สุด และแทบจะยอมรับกันเป็นความจริงชี้ขาดเรื่องชื่อสยาม จิตร ภูมิศักดิ์ บอกว่าเพราะสาเหตุใหญ่อย่างน้อย 2 ประการ

1.) สยามในยุคหลังๆ มักนำไปใช้อย่างคำสันสกฤต เป็นต้นว่าใช้เป็นคำเข้าสมาสกับภาษาสันสกฤตว่าสยามประเทศ, สยามรัฐ, สยามมินทร์, สยามูปถัมภ์, สยามเทวาธิราช, สยามานุสสติ, สยามราษฎร์ ฯลฯ

2.) ศัพท์แสงต่างๆ ในภาษาไทย มักจะถูกมองว่ามีรากเหง้ามาจากภาษาสันสกฤต-บาลีไว้ก่อนเสมอเป็นอันดับแรก, แม้คำไทยๆ ที่ถูกลากเข้ารูปบาลี-สันสกฤตไปเสียมากต่อมาก ทั้งนี้เพราะอิทธิพลของภาษาบาลีในพุทธศาสนา และอิทธิพลของพราหมณ์ในพิธีไสยศาสตร์และทางอักษรศาสตร์แห่งราชสำนัก

จากพื้นฐานทั้งสองนี้เอง การหาคำแปลของคำสยามในครั้งก่อนจึงมุ่งเข้าค้นในพจนานุกรมสันสกฤต-บาลี เป็นเช่นนี้ทั้งนักโบราณคดีฝรั่งและนักพงศาวดารไทย

จิตร ภูมิศักดิ์ สรุปว่าความพยายามที่จะแปลคำสยามให้เป็นคำสันสกฤตนี้ ล้วนห่างไกลความเป็นจริงทั้งสิ้น เพราะสยามถือกำเนิดออกมาจากซาม-เซียม และแหล่งกำเนิดอยู่ในบริเวณยูนนานตะวันตกเฉียงใต้และพม่าเหนือ, ควรต้องคลำหาต้นกำเนิดจากภาษาในเขตนี้ในยุคโบราณ และหาคำแปลจากคำดั้งเดิมนั้น มิใช่จับเอาสยามซึ่งเป็นรูปคำที่ถูกดัดแปลงแล้วมาแปล •