ปรับตัวสู่ยืดหยุ่น | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

ปรับตัวสู่ยืดหยุ่น

 

ที่ผ่านมา ยอมรับว่า ค่อนข้างทึ่ง กับการปรับตัว ของฝ่าย”จารีตนิยม”

เมื่อพี่น้อง 3 ป. ลดบทบาททางการเมืองลง โดยเฉพาะตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องพ้นจาก สมการการเมือง หลังมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี

ขณะที่ พรรคการเมืองอย่างภูมิใจไทย(ซึ่งในขณะนี้กำลังสร้างจุดยืนเรื่อง 3สถาบันหลัก ให้ชัดเจนมากขึ้น ผ่าน 4 กระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยดูแล) ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ไม่อาจพัฒนาศักยภาพขึ้นมาแข่งกับพรรคคนรุ่นใหม่อย่างก้าวไกลได้

เราถึงได้เห็นปรากฏการณ์ “ข้ามขั้ว”

ฝ่ายจารีตเอื้อมมือไปเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยมีจุดยืนตรงข้ามกัน อย่างแนบแน่น

จนกลายเป็นความเชื่อไปเรียบร้อยแล้วว่า การเมืองในอนาคต พรรคเพื่อไทย จะกลายเป็นศัตรูคู่แข่งกับพรรคก้าวไกล

ซึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็ดูเหมือนจะเป็นไปตามความเชื่อนั้น

แน่นอน ฝ่ายจารีตก็ดูจะพึงใจกับทิศทางนี้

เพราะพรรคที่มีศักยภาพที่จะต่อกรกับพรรคก้าวไกลได้ ก็มีแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น

การปรับตัว ยืดหยุ่น พร้อมจะดึงเอาศัตรูมาเป็นมิตร จึงถือเป็นคุณสมบัติพิเศษของกลุ่มจารีต และทำให้ครองการนำทางการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน

ในสถานการณ์เช่นนี้ พรรคก้าวไกล ดูเหมือนจะอยู่ใน ภาวะยากลำบาก เพราะนอกจากถูกสะกัดให้โดดเดี่ยว แล้ว

ยังมีขบวนการตามบดขยี้ ในทุกช่องทาง

อะไรเป็นจุดอ่อน เป็นช่องโหว่ จะถูกขยายความให้ใหญ่โต

หรือแม้จะไม่มีอะไรแต่ก็มีผู้พร้อมสร้าง”ประเด็น”ขึ้นมาเพื่อโจมตี พรรคก้าวไกล อยู่ตลอดเวลา

จนตอนนี้ พรรคก้าวไกล ดูเหมือนจะอยู่ในภาวะ”ซวดเซ” และ ก้าว”ถอยหลัง”

แต่ในภาวะอันเป็นลบดังกล่าว

เราได้เห็นปรากฏการณ์บางอย่าง ผ่านแกนนำ ทั้งในและนอกพรรค อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายชัยธวัช ตุลาธน

โดยนายธนาธร ได้ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกถึงการได้พบกับนายทักษิณ ชินวัตร

แม้การพบดังกล่าว นายธนาธรจะบอกว่า เพื่อสนทนากันถึงเรื่อง “หลาน” เท่านั้นก็ตาม

แต่กระนั้น นายธนาธร ได้ให้คำแนะนำแก่พรรคก้าวไกล อย่างเหนือความคาดหมายของหลายคน

นั่นคือนายธนาธรเสนอ ว่าควรสามัคคีกับพรรคเพื่อไทย

เพราะมีแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น ที่ยังมีแนวทางประชาธิปไตยที่ไปกับพรรคก้าวไกลได้

ท่าทีเช่นนี้จะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม

แต่ก็เท่ากับเป็นการสวนทางกับความพยายามที่จะทำให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย

และขัดขวางความพยายามของฝ่ายจารีต ที่พยายาม”ยืมมือ”พรรคเพื่อไทยมาสะกัดพรรคก้าวไกล

แนวทาง “แสวงแนวร่วม สงวนจุดต่าง” มิได้มีเฉพาะนายธนาธร เท่านั้น

หากแต่รวมถึงนายชัยธวัช ด้วย โดยเฉพาะกรณีการผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรม

ที่นายชัยธวัช ออกไปแตะมือกับทุกขั้ว ทั้งขั้วที่เป็นมิตรและขั้วที่เป็นศัตรู เพื่อหา”จุดร่วม” ที่จะผลักดันให้เรื่องนี้ ประสบความสำเร็จ

ขณะเดียวกันก็พยายาม ลดเงื่อนไข การถูกต่อต้าน

ด้วยการพูดแทน นายธนาธรและแกนนำพรรคก้าวไกล และกลุ่มก้าวหน้า ว่าพร้อมจะแสดงเจตนารมณ์ขอไม่รับผลใดๆจากพ.ร.บ.นิรโทษกรรม

เพื่อที่จะปิดช่องโจมตีว่านิรโทษกรรมให้ตัวเอง

แนวทางแสวงหา”แนวร่วม”เช่นนี้ แม้จะไม่มีคำอธิบายจากใครในพรรคก้าวไกลและกลุ่มก้าวหน้าว่าเป็น”การปรับตัว”ไม่แตกหัก พร้อมยืดหยุ่น

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็พอแลเห็นได้ว่าไม่ใช่ฝ่ายจารีตเท่านั้นที่ปรับตัว

ฝ่ายก้าวหน้า เองก็ปรับตัวเช่นกัน

ส่วนปรับแล้วจะนำไปสู่อะไร ต้องติดตามกันต่อไป

————–