ดาวเทียมสอดแนมของเกาหลีเหนือ ความสำเร็จที่ยังต้องคลางแคลง

ทันทีที่เกาหลีเหนือประกาศว่า ประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมสอดแนมทางทหาร “มัลลิกยอง 1” ขึ้นสู่วงโครจรโลกสำเร็จ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ในความพยายามครั้งที่ 3 ของปีนี้ โดยมี “คิม จอง อึน” ผู้นำเกาหลีเหนือ ร่วมชมการปล่อยดาวเทียมครั้งนี้ด้วย

เกาหลีเหนือยังได้ประกาศด้วยว่า จะเดินหน้าส่งขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันตัวเองจากการซ้อมรบทางทหารที่เป็นอันตรายของศัตรู

การประกาศดังกล่าว ทำให้เกาหลีใต้ รวมถึงชาวโลกก็รู้แล้วว่า น่าจะเกิดเหตุอะไรที่ไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน

โดยเกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ต่างยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ดาวเทียมสอดแนมทางทหารของเกาหลีเหนือ ได้ขึ้นสู่วงโคจรแล้วจริงหรือไม่

แต่เกาหลีใต้เรียกการปล่อยดาวเทียมสอดแนมดังกล่าววว่า “เป็นการละเมิดอย่างชัดเจน” ต่อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ทำให้เกาหลีใต้ประกาศระงับข้อตกลงบางส่วนของ Comprehensive Military Agreement หรือซีเอ็มเอ ที่ทำขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ เมื่อปี 2018 เพื่อคลายความตึงเครียดตลอดแนวชายแดนระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้

และยกระดับการสอดแนมชายแดนเกาหลีเหนือทันที เพื่อประท้วงการปล่อยดาวเทียมสอดแนมของเกาหลีเหนือ

สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เมื่อเกาหลีเหนือไม่ยอม และประกาศระงับข้อตกลงดังกล่าว และก็ยังประกาศด้วยว่า จะส่งกองทัพและอาวุธชนิดใหม่ไปยังพรมแดนที่ติดกันกับเกาหลีใต้

โดยสำนักข่าวกลางเกาหลี (เคซีเอ็นเอ) รายงานว่า กระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า เกาหลีเหนือจะกลับมาใช้มาตรการทางทหารทั้งหมดที่ถูกระงับไป ภายใต้ข้อตกลงซีเอ็มเอ ที่ได้มีการลงนามในการประชุมสุดยอดระหว่างคิม จอง อึน กับนายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในขณะนั้น

กระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือระบุด้วยว่า จะถอนมาตรการทางทหารที่มีขึ้นเพื่อป้องกันความตึงเครียดทางทหารและความขัดแย้งในทุกด้าน รวมถึงทางบก ทะเล และอากาศ

และจะส่งกองทัพที่เข้มแข็งขึ้น และยุทโธปกรณ์ทางทหารชนิดใหม่ไปยังภูมิภาค ตลอดแนวเส้นแบ่งเขตทางทหาร

 

นายคิม จอง อึน ได้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง “ยุคใหม่แห่งมหาอำนาจอวกาศของเกาหลีเหนือ” ร่วมกับคณะนักวิทยาศาสตร์และครอบครัวของเขา และบอกด้วยว่า การปล่อยดาวเทียมสอดแนมทางทหารของเกาหลีเหนือ ถือเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ของเกาหลีเหนือ และดาวเทียมสอดแนมนี้จะช่วยปกป้องเกาหลีเหนือจากการเคลื่อนไหวที่อันตราย และการรุกรานของศัตรู พร้อมกล่าวว่า สิ่งนี้ได้บุกเบิกยุคใหม่ของมหาอำนาจทางอวกาศมาสู่ประเทศ

ขณะที่มีรายงานเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน สำนักข่าวเคซีเอ็นเอรายงานว่า ดาวเทียมมัลลิกยอง 1 ได้ส่งภาพถ่ายกลับมายังเกาหลีเหนือแล้วโดยที่นายคิม จอง อึน ได้ตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมดังกล่าวด้วยตัวเอง

ซึ่งภาพที่ดาวเทียมส่งกลับมา มีทั้งทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐ เพนตากอน และฐานทัพเรือนอร์ฟอล์ก ของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ก็ยังมีภาพเมืองและฐานทัพทหารในเกาหลีใต้ ฐานทัพอากาศแอนเดอร์สันของสหรัฐ บนเกาะกวม และอิตาลี เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวยังเป็นเพียงการกล่าวอ้างของเกาหลีเหนือฝ่ายเดียวเท่านั้น และยังไม่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายดังกล่าวออกสู่สาธารณะแต่อย่างใด

 

คาร์ล ชูสเตอร์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของศูนย์ข่าวกรองร่วมของกองบัญชาการภาคพื้นแปซิฟิกของสหรัฐ บอกไว้ว่า

“ถ้าหากดาวเทียมได้ผล จะช่วยยกระดับความสามารถในการสั่งการ การควบคุม และการสื่อสาร หรืองานข่าวกรองและการสอดแนมของกองทัพเกาหลีเหนือ ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถของเกาหลีเหนือในการบังคับบัญชากองกำลังของตนในความขัดแย้งใดๆ”

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ความสามารถที่แท้จริงของดาวเทียมเกาหลีเหนือนั้น ยังเป็นสิ่งที่ต้องรอดูกันต่อไป และเกาหลีเหนือเองอาจจะไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนักจากดาวเทียม

ท่ามกลางความเคลือบแคลง ก็ต้องรอดูต่อไปว่า เกาหลีเหนือจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า การส่งดาวเทียมสอดแนมทางทหารนี้ เป็นเรื่องจริง