เมื่อโจรไล่ล่าประชาชน ‘ยุติธรรม’ จะทำอย่างไร

นโยบายไม่ใช่ “ความรู้สึก” แต่เป็น “จินตนาการ” ซึ่งเกิดจากการประสานระหว่างความรู้กับประสบการณ์ที่ตกผลึก

เช่นครั้งหนึ่ง นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เคยนำเสนอ “โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ให้กับผู้นำทางการเมืองคนหนึ่ง ท่านผู้นั้นเบ้ปาก เบือนหน้าหนี เหมือนใบมีดกรีดลงหัวใจ “หมอสงวน” ซึ่งมีความฝันอยากจะเห็นผู้คนชนชั้นล่างที่ด้อยโอกาสได้เข้าถึงระบบสาธารณสุขด้วย “โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า”

“หมอสงวน” ไม่เคยทิ้งโอกาสที่จะอธิบายความฝันกับผู้นำทางการเมือง ราวปี 2542 ได้นำเสนอกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งต่อมา “ทักษิณ” ได้ยอมรับว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เกิดจากความมุ่งมั่นของ “หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์” ซึ่งเมื่อได้พูดคุยกันก็รู้สึกตรงใจมาก คนจนทั้งในชนบทและในเมืองจำนวนมากเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุขเพราะรายได้ หลายคนขาดโอกาส บ้างก็ตาบอดเพราะไม่มีเงินลอกต้อ บ้างไม่มีเงินผ่าตัดลิ้นหัวใจ ไม่ได้รักษาโรคหัวใจหรือตับไตไส้พุง

สังคมไทยปล่อยให้เป็น “คนอนาถา” ทั้งที่เวลาเลือกตั้ง เศรษฐีกับยาจกก็ 1 เสียงเท่ากัน

“ทักษิณ” คิดประยุกต์หาวิธีทำจนกระทั่งกลายเป็น “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค”

การเมืองไทยในทศวรรษ 2540 เปลี่ยนแล้ว!

เปลี่ยนไปด้วย “นโยบาย”

พรรคไทยรักไทยมาพร้อมกับ “นโยบาย” ที่โดนๆ หรือจับต้องสัมผัสได้ เป็นประชาธิปไตยที่กินได้ ไม่ใช่เป็นแค่ “วาทศิลป์” หรือการเล่นลิ้นของนักการเมือง

“นโยบาย” ไม่ใช่แค่ “รู้สึกว่า” แล้วจึงประกาศออกมา!

 

ปกติแล้ว ก่อนจะมีนโยบาย ต้องมีทีมเก็บข้อมูลค้นคว้าศึกษาระดมสมองถกเถียงเปรียบเทียบจนสามารถคาดคะเนผลได้-เสีย ในระดับที่มั่นใจ จึงประกาศและขับเคลื่อน

“ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของทุกสังคม

ไม่มีความปลอดภัยในชีวิต ทุกอย่างก็จบ ไม่ต้องพูดถึงกิจกรรมอื่นใดอีก

ในสหรัฐอเมริกา บางรัฐไม่ให้มี ไม่ให้พกพาอาวุธปืน บ้านคนไม่มีรั้ว หรือที่มีรั้วก็ไม่ต้องปิดประตูรั้ว ทิ้งบ้านไปเป็นเดือนๆ ไม่มีโจรเข้าบ้าน

แต่ในบางรัฐอนุญาตให้ประชาชนมีและพกปืน คนดีกับคนที่ไม่ดี (แต่ผ่านเกณฑ์จนได้รับอนุญาต) และเจ้าหน้าที่รัฐ มี “ปืน” เสมอหน้ากัน

แต่ก็มี “กติกา” ว่า ถ้าเจ้าหน้าที่เรียกตรวจหรือสั่งให้หยุดแล้ว ต้อง “ยกมือขึ้น” เหนือศีรษะ ถ้าใครขืนไม่ยกมือขึ้น ตำรวจสามารถจะระแวงสงสัยว่าชักอาวุธปืนออกมายิงสู้

ตำรวจสามารถยิงคนนั้น ตายฟรีได้ทันที

 

ในบ้านเรา ไม่มีสถิติข้อมูลชี้ชัดว่า “ปืน” ที่ใช้ก่อเหตุเป็นปืนได้รับ “อนุญาตให้มี” กับ “อนุญาตให้พกพา” หรือไม่

ปืนของโจรส่วนมากเป็น “ปืนเถื่อน” และพกพากันเถื่อนๆ

ปืนของนักเรียนช่างกลที่ยิงกัน แล้วกระสุนไปโดน “ครูเจี๊ยบ” เสียชีวิต ปืนที่ใช้กันในองค์กรอาชญากรรมไล่ล่าฆ่าคนนั้นเป็นปืนอะไร

เป็นปืนพ่อปืนแม่ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกกฎหมาย หรือปืนเถื่อนที่สั่งซื้อทางออนไลน์ ปืนไทยประดิษฐ์ที่ตบแต่งกันขึ้นมาเอง

ปืนของ “แป้ง นาโหนด” เป็นปืนที่ได้อนุญาตให้มี ให้ครอบครอง และให้พกพาถูกกฎหมายหรือไม่

รวมทั้ง “อาวุธปืน” ทั้งหลายที่ได้ยินมา เช่น นักค้ายาเสพติดที่ใช้ “ปืน” ยิงแหกด่านตำรวจ “ปืน” ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุปล้นฆ่า “ปืน” ยิงคู่อริ “ปืน” ที่พนักงานในบาร์ยิงลูกค้า ฯลฯ

ทั้งหมดนั้นเป็น ปืนเถื่อน หรือ ปืนถูก (กฎหมาย)

ไม่เคยมีข้อมูลสถิติชี้บอกว่า ผู้ที่มีใบอนุญาตให้ “ครอบครองอาวุธปืน” และผู้มีใบอนุญาต “ให้พกพา” อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็น “อาชญากร” โดยส่วนใหญ่

ถ้าเช่นนั้นแล้ว นโยบายหรือคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ให้จำกัดใบอนุญาต “มีอาวุธปืน” และไม่ให้มีใบอนุญาต “พกพาอาวุธปืน” คืออะไร

 

ตีความจากคำสั่งของ “รัฐมนตรีมหาดไทย” ได้ว่า

หนึ่ง นับจากนี้ไป ใครที่เคย “หากิน” จากโครงการ “ปืนสวัสดิการ” ต้องเลิก

อย่าได้มาอ้างกันเปรอะว่าเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยนั้นหน่วยนี้จำเป็นจะต้องมี เพราะถือครองได้ไม่กี่ปีก็ขายต่อ

“ปืนสวัสดิการ” จำนวนหนึ่งจึงตกไปอยู่ในมือนักเลงอันธพาล บริวารผู้มีอิทธิพล จนบางกระบอกสร้างผลงานถึงขั้นปลิดชีวิตผู้พิทักษ์สันติราษฎร์!

แล้วชีวิตชาวบ้านจะเหลืออะไร

สอง นับจากนี้ไป ใครที่เคยหากินจาก “ค่าหัวคิว” ใบโควตาร้านค้าอาวุธปืนก็ต้องเลิก

ข้อนี้จะเลิกได้อย่างไรยังเป็นที่สงสัย!!

สาม นี่เท่ากับกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศว่า “ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน” จะได้รับการปกป้องคุ้มครองร้อยเปอร์เซ็นต์จาก “รัฐ”

ข้อสุดท้ายนี้ มีปัญหาเป็นอย่างมาก!

ถามว่า ตำรวจ อัยการ และศาล ที่รวมเรียกว่า “กระบวนการยุติธรรม” พร้อมรับมือกับนโยบายนั้นหรือ

ห้ามไม่ให้ “มี” และห้ามออกใบอนุญาต “พกพา”

ย้ำว่า ห้ามได้เฉพาะ “สุจริตชน”!

คนที่เคยเดินทางไปมาค้าขายทำธุระเหนือไปใต้ ตะวันออกไปตะวันตก ไปอีสานเหนือ อีสานใต้ ถิ่นที่ห่างไกล จะกลางวันหรือกลางคืน จากนี้ไป “พึ่งพาตนเองไม่ได้”

 

“ตํารวจ” คือคนแรกสุด ที่จะต้องหมายพึ่ง

ตำรวจทั่วประเทศทุกโรงพัก ทั้งภูธร-นครบาล ตำรวจหน่วยสนับสนุนปฏิบัติการด้านต่างๆ ตำรวจท่องเที่ยว ทางหลวง กองปราบปราม สารพัดหน่วยตำรวจ พร้อมหรือยังที่จะ “คุ้มครอง” ประชาชนโดยไม่ต้องร้องขอใช้เส้นสายนายสั่ง

“โรงพักเพื่อประชาชน” ที่ตายไปแล้ว จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้หรือไม่!

พนักงานอัยการจะ “สั่งคดี” ปลอดโปร่งโล่งสบายได้หรือไม่

ศาลจะพิพากษาลงโทษ “โจร” ที่ใช้อาวุธปืนประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้รวดเร็วทันการณ์

นับจากนี้ไป ในประเทศไทย เมื่อพบเห็นผู้ใด “มี” หรือ “พกพา” อาวุธปืน สามารถคาดเดาได้ว่า มีเพียง 2 กลุ่มเท่านั้น

1. เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ทหาร หรือฝ่ายปกครองผู้มีหน้าที่คุ้มครองให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กับ

2. โจร

ด้วยนโยบายกระทรวงมหาดไทยนี้ เมื่อประชาชนถูก “ห้ามมี” และ “ห้ามพกพา” อาวุธปืนเพื่อป้องกันตนเอง “กระบวนการยุติธรรม” ทั้งระบบพร้อมหรือยัง ที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติและวิธีปฏิบัติงาน!?!!