จับตา ‘สงครามตัวแทน’ ในตะวันออกกลาง

สงครามภาคพื้นดินในฉนวนกาซาทวีความรุนแรงและเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ กองทัพอิสราเอล (ไอดีเอฟ) รุกคืบหน้าเข้าสู่กาซาซิตี้ เข้ายึดโรงพยาบาลชีฟา ท่ามกลางกระแสประท้วงและเสียงเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงดังระงม เมื่อความสูญเสียของคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ

เบื้องหลังฉากหน้าของการสู้รบดังกล่าว เส้นทางสู่การขยายตัวของสงครามเริ่มก่อตัวและทวีความแหลมคมมากขึ้นตามไปด้วย เพียงแต่อาจไม่ใช่ในรูปแบบและแหล่งที่มาที่ทุกคนคาดคิดเท่านั้น

ไม่นานหลังจากฮามาสก่อเหตุอำมหิต บุกข้ามแดนเข้ามาเข่นฆ่าไม่เลือกหน้าในอิสราเอลเมื่อ 7 ตุลาคม อิสมาเอล คานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุด (Quds Force) กองพลเพื่อปฏิบัติการพิเศษในสังกัดกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติ (ไออาร์จีซี) ของอิหร่าน เดินทางเข้าออกซีเรียเป็นว่าเล่น เป้าหมายเพื่อเตรียมการและวางแผนสำหรับประสานการเคลื่อนไหวของบรรดากองกำลังที่เป็น “ตัวแทน” และ “หุ้นส่วน” ของอิหร่านทั้งในซีเรียและอิรัก

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังการเยือนหลายระลอกที่ว่านี้ก็คือ การโจมตีอิสราเอลด้วยจรวดพิสัยไกลและโดรน รวมแล้วมากกว่า 40 ครั้ง

ทางหนึ่งนั้นเป็นไปเพื่อการ “ทดสอบความพร้อม” ของทั้งกองกำลังสหรัฐและอิสราเอล

อีกทางหนึ่งก็คือ “ควบคุม” ให้การขยายตัวของสงครามเดินไปในทิศทางที่อิหร่านต้องการ

 

มีรายงานข่าวหลายชิ้นที่บ่งชี้ตรงกันว่า นับตั้งแต่บัดนั้น บรรดากองกำลังต่างๆ ที่เป็นตัวแทนหรือได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในซีเรียพากันเคลื่อนกำลังเข้าใกล้พื้นที่ชายแดนติดกับอิสราเอล

แม้กระทั่ง “รัดวาน ยูนิท” หน่วยรบพิเศษสมรรถนะสูงของฮิซบอลเลาะห์ ก็เดินทางมาถึงซีเรีย ตั้งมั่นประชิดอยู่กับอิสราเอลเช่นเดียวกัน

หลังสุด เมื่อ 22 ตุลาคม นายพลคานีเดินทางมายังพื้นที่ตอนใต้ของซีเรีย มีรายงานระบุว่า เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้เป็นไปเพื่อการจัดตั้ง “ห้องบัญชาการปฏิบัติการร่วม” สำหรับกองกำลังต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของอิหร่านที่ชุมนุมกันอยู่ตามแนวที่ราบสูงโกลัน ชายแดนด้านตะวันออกของอิสราเอล

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ความเคลื่อนไหวของกองกำลัง “ตัวแทน” อิหร่านเหล่านี้จะเข้มข้นมากขึ้นตามลำดับตามความหนักหน่วงของการสู้รบในกาซา

ยิ่งฮามาสส่อเค้าว่าจะเพลี่ยงพล้ำ หรือถูก “กวาดล้าง” มากขึ้นเท่าใด การตอบโต้จาก “ตัวแทน” เหล่านี้ก็จะทวีความหนักหน่วงและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

นั่นอาจหมายความได้ว่า สงครามที่ใหญ่โตกว่ากำลังจะเกิดขึ้นตามมา รวมทั้งอาจหมายความด้วยว่า สงครามอาจไม่สิ้นสุดลง แม้ว่าการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับฮามาสจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

 

นายทหารระดับสูงของไออาร์จีซีรายหนึ่งเคยประกาศเอาไว้ว่า การโจมจีของฮามาสต่ออิสราเอลเมื่อ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาคือ “จุดเริ่มต้นของความเคลื่อนไหวเพื่อทำลายล้างอิสราเอล” โดยขบวนการที่เขาเรียกว่า “อักษะแห่งการต่อต้าน” (the Resistance Axis)

และที่คลาดเคลื่อนไปจากที่คนส่วนใหญ่ทั่วไปเชื่อหรือคาดหมายกันก็คือ ตัวหลักของความเคลื่อนไหวนี้ ไม่ใช่ “ฮิซบอลเลาะห์” กองกำลังติดอาวุธที่อำมหิตที่สุดและมีสรรพาวุธทันสมัยที่สุดภายใต้การหนุนหลังของทางการอิหร่านในเลบานอนแต่อย่างใด

หากแต่เป็น 2 กองกำลังพิเศษที่กองทัพอิหร่านจัดตั้งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ หนึ่งคือ “อัฟกัน ฟาเตมิยูน” อีกหนึ่งคือ “ปากีฯ ไซนาบิยูน” ตามคำสั่งของ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมนี ในช่วงสงครามกลางเมืองซีเรีย เพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนเป้าหมายปฏิบัติการของอิหร่านในซีเรียจาก “การอุ้มระบอบเผด็จการบาชาร์ อัล อัสซาด” ไปสู่การ “ปกป้องวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งชีอะต์” ที่กำลังถูกคุกคามโจมตีจาก “สุหนี่-ไซออนนิสต์ (ยิว) และตะวันตก”

กองกำลังติดอาวุธหลากหลายกลุ่มถูกจัดตั้งขึ้นในซีเรียเพื่อ “สงครามศักดิ์สิทธิ์แห่งชีอะต์” ที่ว่านี้อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของนายพลของไออาร์จีซีหลายคน หนึ่งในจำนวนนั้นคือ “ซาอีด กาห์เซมี” นายพลอาวุโสที่เป็นสายตรงของ “สำนักงานประจำผู้นำสูงสุดแห่งอิหร่าน” อย่างคาเมนี

 

กาห์เซมี ก่อตั้งฟาเตมิยูน กับไซนาบิยูน ขึ้นในช่วงระหว่างปี 2014-2015 เริ่มต้นจากการเกณฑ์เอาบรรดานักศึกษาที่เป็นลูกหลานของผู้อพยพอัฟกันและปากีสถานในอิหร่านซึ่งศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัลมุสตาฟาอินเตอร์เนชั่นแนล เป็นหลัก ฟาเตมิยูนเมื่อเริ่มต้นมีกำลังราว 1,000 คน ส่วนไซนาบิยูนมีราว 24 คน

แต่ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จำนวนนักรบฟาเตมิยูนและไซนาบิยูน เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เป็น 15,000 คน และ 5,000 คน ตามลำดับ

ลักษณะพิเศษของกองกำลังเหล่านี้ก็คือ ไม่เพียงแต่ได้รับการฝึกทางทหารชนิดเข้ม, ได้รับเงินสนับสนุนและเสบียงกับสรรพาวุธจากไออาร์จีซีเท่านั้น

ยังได้รับการฝึกฝนอบรมในเชิงอุดมการณ์อย่างเข้มข้นตั้งแต่แรกเริ่ม

ว่ากันว่า การฝึกที่เป็นการ “ปลูกฝังอุดมการณ์” ของทั้งสองกลุ่มนี้นั้น เข้มข้นกว่าการฝึกของไออาร์จีซีเองถึงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป

หนึ่งสิ่งที่คนเหล่านี้ถูกปลูกฝังตั้งแต่เริ่มแรกก็คือ “ลัทธิทหารมาดิสม์” ที่พูดถึง “อิหม่ามผู้เร้นกาย” อันเป็น “ผู้มาโปรดของชีอะต์อิสลาม” ซึ่งจะกลับมาปรากฏกายได้อีกครั้ง หากชีอะต์ขจัดอุปสรรคสำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดลงได้ นั่นคือ อิสราเอล

ไม่น่าแปลกที่นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า กองกำลังเหล่านี้ถูกฝึกมาเพื่อ “ต่อต้านอิสราเอล” โดยเฉพาะ เป้าหมายคือการทำลายล้างอิสราเอลและยิวทั่วโลก เพื่อเปิดทางให้ “อิหม่าม มาห์ดี้” กลับมาปรากฏอีกครั้ง

แล้วก็ไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน ถ้าหากว่าสงครามใหญ่ในตะวันออกกลางหลังเสร็จศึกกาซา จะเป็นสงครามตัวแทนระหว่างอิสเอลกับซีเรีย เพื่อนบ้านชายแดนติดกันทางตะวันออก ไม่ใช่กับเลบานอนทางตอนเหนืออีกต่อไป

เพราะฮิซบอลเลาะห์มีคุณค่าต่ออิหร่านมากกว่าที่จะนำมาเสี่ยงในยามนี้!