ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤศจิกายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ในตอนนี้เราขอเล่าถึงนิทรรศการทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นนิทรรศการที่นำเสนอผลงานของศิลปินที่ได้รับคัดเลือกจากโครงการทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี ที่จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 จนถึงปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนศิลปินร่วมสมัยของไทยให้สร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสในการทำงานและเผยแพร่สู่สาธารณะ เพื่อเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย
ในปี พ.ศ.2566 นี้ โครงการทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี ได้จัดขึ้นมาเป็นครั้งที่ 22 มีศิลปินที่ได้รับทุนจำนวน 7 รางวัล และมีระยะเวลาในการดำเนินการสร้างสรรค์ผลงาน 1 ปี จากนั้นจึงนำผลงานมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการในหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีศิลปินผู้ได้รับทุนอย่าง
กฤช งามสม, ศุภพงศ์ เหล่าธีรศิริ, เจษฎา ตั้งตระกูลวงศ์, ส้ม ศุภปริญญา, อติ กองสุข, สุรเจต ทองเจือ และ จิตติ เกษมกิจวัฒนา
เมื่อเราได้ไปชมผลงานศิลปะที่จัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ เราพบว่าผลงานเหล่านี้มีคุณภาพไม่น้อยหน้านิทรรศการศิลปะในระดับสากลเลยก็ว่าได้
เริ่มต้นจากผลงานในห้องแรกของ กฤช งามสม ในโครงการ Resonate กับงานศิลปะจัดวางที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่เกิดขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าราชวรดิฐ ใกล้กับที่ตั้งของหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร พื้นที่แสดงงาน อย่างเหตุการณ์ กบฏแมนฮัตตัน ที่เกิดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า “คณะกู้ชาติ” ได้ทำการกบฏ จี้ตัวนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในระหว่างที่เป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอน “แมนฮัตตัน” ที่สหรัฐอเมริกามอบให้รัฐบาลไทย ที่ท่าราชวรดิฐ โดยนำตัวไปกักขังไว้ในเรือรบหลวง “ศรีอยุธยา” ที่จอดอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเป็นตัวประกัน จนทำให้เกิดการสู้รบกันขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน
โดยทหารและตำรวจฝ่ายรัฐบาลระดมกำลังเข้าโจมตีทหารเรือทุกจุด ทั้งการยิงต่อสู้ทางบก ด้วยปืนและรถถัง และการส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดทางอากาศ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตมากมาย ไม่เพียงแต่ทหาร แต่ยังรวมถึงประชาชนในพื้นที่นั้นอีกด้วย จนในที่สุดเรือรบหลวงศรีอยุธยาก็ไฟไหม้ ทหารเรือประจำเรือจึงปล่อยให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ใส่ชูชีพว่ายน้ำหนีออกมา และฝ่ายรัฐบาลก็ชนะในที่สุด ก่อนที่เรือรบหลวงศรีอยุธยาจะจมลงในวันถัดมา
หลังจากเหตุการณ์ ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายรัฐบาลได้ยึดของกลางต่างๆ จากที่เกิดเหตุมารวบรวมไว้ที่ทำการของ สน.ชนะสงคราม หนึ่งในนั้นมีระฆังประจำเรือขุดแมนฮัตตัน ที่สลักประโยคอังกฤษว่า “Impregnable” ที่แปลว่า “ไม่มีวันพ่ายแพ้” เอาไว้ ซึ่งระฆังนี้ก็ยังคงตั้งอยู่ที่ สน.ชนะสงครามจนถึงปัจจุบัน
อีกหลายปีต่อมา ซากเรือรบหลวงศรีอยุธยาก็ถูกกู้ขึ้นมาในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2502 เพื่อป้องกันอันตรายในการเดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนใบพัดเรือถูกนำไปหล่อเป็นระฆังอยู่ภายในวัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม จวบจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกัน
กฤชหยิบเอาเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์เหล่านี้มาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะในโครงการ Resonate (เสียงสะท้อนก้องกังวาน) ของเขา ผ่านวัตถุพยานในเหตุการณ์นี้สามประการ คือ เรือรบหลวงศรีอยุธยา ระฆังสถานีตำรวจวัดชนะสงคราม และระฆังวัดดอนยายหอม
เริ่มจากผลงานประติมากรรมจัดวางที่สร้างขึ้นจากแผ่นทองแดงประกอบขึ้นเป็นแบบจำลองย่อส่วนของเรือรบหลวงศรีอยุธยา ที่ถูกนำไปลอยอยู่ในตู้กระจกใส ภายในบรรจุสารละลายเฟร์ริกคลอไรด์ หรือกรดทองแดง ที่ศิลปินภาพพิมพ์มักใช้ในการกัดกรดแม่พิมพ์โลหะ (ทองแดง) ทำให้เรือจำลองลำนี้ถูกกรดในตู้กัดกร่อนให้ค่อยๆ สลายตัวไปเรื่อย จนในที่สุดก็สูญสลายกลายเป็นตะกอนนอนก้นอยู่ในตู้กระจก (ด้วยความที่กรดชนิดนี้ไม่เกิดไอหรือควันพิษ จึงค่อนข้างปลอดภัยในการใช้กับผลงานศิลปะ…อย่างระมัดระวังอะนะ)
และผลงานประติมากรรมจัดวางในรูปของแบบจำลองย่อส่วนของระฆังสถานีตำรวจวัดชนะสงคราม และระฆังวัดดอนยายหอม อย่างละ 12 ใบ รวมกันเป็นจำนวน 24 ใบ แทนจำนวนชั่วโมงในหนึ่งวันของการสู้รบกันระหว่างรัฐบาลและคณะกู้ชาติในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2494 ระฆังเหล่านี้มีกลไกที่ถูกทำให้ลั่นดังขึ้นในทุกๆ 30 นาที (ซึ่งอ้างอิงจากวิธีเคาะระฆังบอกเวลาบนเรือราชนาวี) การดังของระฆังจะสัมพันธ์กับเรือรบหลวงศรีอยุธยาจำลองที่อยู่ในตู้แช่น้ำกรด ที่เชื่อมต่อกันด้วยสายเคเบิล โดยเมื่อระฆังดังขึ้น ตัวระฆังจะถูกชักขึ้น ทำให้เรือถูกหย่อนลงน้ำกรด เมื่อระฆังถูกหย่อนลง เรือจะถูกชักขึ้นพ้นน้ำกรด สลับกันไปมาตลอดระยะเวลาการแสดงนิทรรศการ
ผลงานชิ้นนี้นอกจากจะเป็นการสะท้อนกระบวนการลบเลือนหลักฐานทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยของผู้มีอำนาจรัฐแล้ว ยังอาจสื่อถึงชะตากรรมของประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยที่มักกลายเป็นเหยื่อและลูกหลงจากความรุนแรงในการแย่งชิงอำนาจของชนชั้นนำ จนต้องล้มตายสูญสลายหายไปอย่างไร้ชื่อไร้ความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์นั่นเอง
ตามมาด้วยผลงานในห้องที่สองของ ศุภพงศ์ เหล่าธีรศิริ ในโครงการ หุ่นนิ่งแห่งความเงียบและความว่างเปล่า (Still Life of Silence and Emptiness) ที่ได้แรงบันดาลใจจากงานจิตรกรรมหุ่นนิ่งวานิทัส (Vanitas Still Life) ในศตวรรษที่ 17 ที่ใช้วัตถุข้าวของต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องดนตรี แทนสัญลักษณ์ของความไม่จีรังยั่งยืนและความเปราะบางของชีวิต จากความกังวลและความหวาดกลัวต่อความสูญเสียของคนรอบตัวที่เขารัก ต่อยอดมาจากประสบการณ์ที่ได้เห็นกล่องเก็บเครื่องดนตรี และความสนใจมันในฐานะวัตถุสำเร็จรูป (Readymade) รวมถึงพื้นที่ว่างและรูปทรงภายในที่รองรับเครื่องดนตรีภายในกล่อง ที่นอกจากจะดูมีความเป็นนามธรรมแล้ว ยังดูคล้ายกับโลงศพที่บรรจุร่างกายของเครื่องดนตรีอันไร้ชีวิต (เพราะไม่ถูกคนบรรเลง) อีกด้วย
ศุภพงศ์เชื่อมโยงกล่องใส่เครื่องดนตรีที่ว่านี้เข้ากับเครื่องดนตรีที่สื่อถึงการมีชีวิต ด้วยการเลือกชนิดของกล่องใส่เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า อย่าง ฟลูต, แซ็กโซโฟน, ทรัมเป็ต, เฟรนช์ฮอร์น และทรอมโบน ที่ต้องบรรเลงด้วยลมหายใจของมนุษย์ ซึ่งสัมพันธ์กับนัยยะของการมีชีวิต
เครื่องเป่าเหล่านี้ยังถูกใช้ในวงโยธวาทิต หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Military Band หรือวงดนตรีทางการทหาร ซึ่งเชื่อมโยงกับสงครามและความตายอย่างชัดเจน
กล่องใส่เครื่องดนตรีที่ว่านี้ยังทำให้เราอดนึกไปถึงร่างกาย ในฐานะ “เปลือก” บรรจุ “วิญญาณ” ในแอนิเมชั่น Ghost in the Shell ไม่ได้ หรือภาพลักษณ์ของกล่องใส่เครื่องดนตรีที่เป็นพื้นที่ว่างรูปทรงเครื่องดนตรีกลับด้าน คล้ายกับแม่พิมพ์ ยังทำให้เราอดนึกไปถึงแนวคิดเรื่อง “โลกของแบบ” ของเพลโต (Plato) นักปรัชญากรีกโบราณ ที่เชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนแล้วแต่มีต้นแบบหรือแม่พิมพ์อันสมบูรณ์แบบ ที่เป็นอุดมคติและนามธรรมอันเที่ยงแท้และไม่เปลี่ยนแปลง กล่องใส่เครื่องดนตรีเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนแม่พิมพ์ในอุดมคติของเครื่องดนตรีนั่นเอง
ศุภพงศ์ยังเลือกวิธีการจัดวางกล่องเครื่องดนตรีอย่างเรียบง่าย แต่ทรงพลัง ด้วยการใช้การเรียงลำดับของเครื่องดนตรีในการบรรเลงดนตรีเดินสวนสนามของวงโยธวาทิต ที่ให้เครื่องดนตรีเสียงเบาที่สุดอยู่ข้างหน้าและให้เครื่องดนตรีเสียงดังที่สุดอยู่ข้างหลัง ดูๆ ไปการเรียงรายกล่องเครื่องดนตรีเหล่านี้เป็นแถวหน้ากระดาน ก็ทำให้เรานึกถึงการวางโลงศพของทหารที่เสียชีวิตในสงครามอยู่ไม่น้อย
นอกจากผลงานชิ้นหลักในรูปของกล่องใส่เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าสำเร็จรูปแล้ว ศุภพงศ์ยังออกแบบแท่นวางผลงานของเขาให้เชื่อมโยงไปกับแนวคิดของโครงการ ด้วยการสร้างแท่นวางผลงานทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีสัดส่วนใกล้เคียงกับโลงศพที่บรรจุร่างไร้วิญญาณของมนุษย์
นอกจากนี้ เขายังสร้างแท่นวางงานด้วยวัสดุสเตนเลสสตีล ที่มีคุณสมบัติมันวาวคล้ายกระจกเงา ซึ่งเป็นวัสดุที่ศุภพงศ์มองว่ามีสถานะอันกลวงเปล่า เพราะเป็นวัสดุที่หยิบยืมภาพ (สะท้อน) ของสิ่งอื่นๆ รอบตัวมาปรากฏบนตัวเอง
ที่น่าสนใจก็คือ พื้นที่ที่จัดแสดงผลงานของศุภพงศ์ มีรูปลักษณ์เป็นพื้นที่สีเหลี่ยมผืนผ้าแนวยาว กับพื้นหินอ่อนลายตารางหมากรุกสีขาวสลับดำที่สะท้อนไปบนพื้นผิวมันวาวราวกระจกเงาของแท่นวางผลงานจนเกิดเป็นมิติซ้อนทับของพื้นที่ขึ้นมาอย่างแปลกตา พื้นห้องแสดงงานลายตารางหมากรุกกับเนื้อหาเกี่ยวกับความตายในผลงานชุดนี้ ยังทำให้เรานึกไปถึงหนัง The Seventh Seal (1957) ของ อิงมาร์ เบิร์กแมน (Ernst Ingmar Bergman) ที่เล่าเรื่องของอัศวินผู้ต่อรองเล่นหมากรุกกับยมทูตเพื่อยื้อชีวิตของตนเอง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครหนีความตายไปได้พ้น
ประเด็นเกี่ยวกับเครื่องเป่าในวงโยธวาทิต หรือวงดนตรีทางการทหารในผลงานโครงการนี้ของศุภพงศ์ ยังมีความเชื่อมโยงกับเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามของผลงานในโครงการ Resonate ของกฤช งามสม ที่จัดแสดงอยู่ในห้องแสดงงานก่อนหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญอีกด้วย
ตอนหน้าเราจะเล่าเกี่ยวกับผลงานของศิลปินในโครงการทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี ที่เหลือให้อ่านกัน
นิทรรศการทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน-11 พฤศจิกายน 2566 ณ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ เปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00 น.-18.00 น. (ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ) •
ข้อมูล https://shorturl.at/jxW04, https://shorturl.at/BJSZ8, https://shorturl.at/dwDFV
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022