พลังสตรี | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

พลังสตรี

 

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังถูกจับตาเข้มข้นขึ้นมากเป็นลำดับ

มิใช่เพียงเพราะเป็นหัวหน้าพรรคที่แข็งแกร่ง ด้วยเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น จากสมาชิกพรรคเท่านั้น

การออกงานร่วมกันของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ กับน.ส.แพทองธาร ที่ท้องสนามหลวง ในงาน “แสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต” เมื่อ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ในทางการเมืองแล้ว ถือว่า เป็นเหตุการณ์ที่ชวนให้จับตามอง

มองทั้ง”งาน”ที่คุณหญิงพจมาน เลือกไป

มองทั้ง”บุคคล”ที่อยู่เคียงข้าง

มองทั้ง”ปฏิกริยา”ของผู้ร่วมงานที่แสดงออกต่อคุณหญิงพจมาน

ด้วยทั้งหมดนั้น สะท้อนถึง “บารมี”ของคุณหญิงพจมานว่ามีมากเพียงใด

และแน่นอน บารมี นั้นถูกมองว่า แผ่พลังไปยังน.ส.แพรทองธาร ที่อยู่เคียงกาย ซึ่งมิใช่ในฐานะ ลูกสาวเท่านั้น

หากแต่ รวมถึง ฐานะ ความเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ด้วย

จึงไม่แปลก ที่น.ส.แพทองธาร จะได้รับการตอบรับ อย่าง”อบอุ่นและนอบน้อม”จากคนในและนอกพรรค

และหลังจากนี้ น.ส.แพทองธาร ซึ่งมีคุณหญิงพจมานและตระกูล”ชินวัตร”เป็นแรงหนุน ย่อมจะเป็นศูนย์กลางทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทยและทุกองคาพยพ ต่างพุ่งเข้าหาอย่างแน่นอน

ซึ่งก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า น.ส.แพทองธาร จะ จัด “สมดุล”อย่างไร

เพื่อไม่ให้ “พลังสตรี”อันแข็งแกร่งของเธอไปกระทบ “พรรค” และ”รัฐบาล”ที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำ

แม้ น.ส.แพทองธาร จะไม่ต้องการที่จะทำให้เกิดภาวะเช่นนั้นก็ตาม

แต่คงยากปฏิเสธกับความคาดหวังและคาดหมาย ที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะที่มองว่า น.ส.แพรทองทา จะมิได้หยุดบทบาทเพียงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หากแต่ก้าวไปไกลกว่านั้น

นั่นคือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

เป็นตำแหน่งนายกฯ ที่ปัจจุบัน นายเศรษฐา ทวีสิน กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่

ดังนั้น น.ส.แพทองธาร และกองหนุน จึง ต้องระมัดระวังการขับเคลื่อนทางการเมืองของตนเอง ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่กระทบกับผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งขนาดยังไม่ทำอะไร กระแสคาดหมายยังไปไกลและส่งผลกระทบไปถึงนายเศรษฐา แรงถึงขนาด ว่าเป็นหุ่นเชิดของพรรคเพื่อไทย หรือตระกูลชินวัตร ที่อาจต้องถอยให้กับตัวจริงเสียงจริง เพื่อที่จะก้าวไปถึง จุดคาดหมายที่ว่า

จนทำให้นายเศรษฐา ต้องประกาศชัดๆต่อสาธารณชนว่า“ผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย หาเสียงและขอฉันทามติจากเสียงของประชาชนและรัฐสภา ไม่ใช่หุ่นเชิดของใคร โปรดอย่าดูหมิ่นประชาชนครับ”

นี่เพียงแค่เริ่มต้น แต่กลับต้องมาแสดงจุดยืนกันชัดๆขนาดนี้

หากทอดเวลาออกไป ท่ามกลางภาวะไม่แน่นอนทางการเมือง อะไรก็พร้อมจะเกิดขึ้นได้

ดังนั้นทุกย่างก้าวของหัวหน้าเพื่อไทยคนใหม่จึงต้องระมัดระวังอย่างมาก

จะสามารถสร้างสมดุล และขับเคลื่อนอำนาจเป็น”คู่ขนาน” ที่สนับสนุนและไม่ทับเส้นกัน ระหว่าง พรรค กับรัฐบาล ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ต้องจับตา

ทั้งนี้ เพื่อมิให้”พลังสตรี”ที่แม้จะถือเป็นซอต์พาวเวอร์ แต่ก็สามารถกลับกลายเป็นฮาร์ดพาวเวอร์ เมื่อมีเงื่อนไขและปัจจัยเหมาะสมและเพียงพอ

ในทางการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้

———-