สิงห์ท่าในคราเหน็บหนาวและร้าวลึกของตะเคียนต้นหนึ่ง | เรื่องสั้น : สุมาตร ภูลายยาว

เรื่องสั้น | สุมาตร ภูลายยาว

สิงห์ท่าในคราเหน็บหนาวและร้าวลึกของตะเคียนต้นหนึ่ง

 

อดีตผ่านพ้นคนผ่านทาง

กลิ่นควันธูปลอยไปตามสายลมที่พัดมาจากลำชี ผ้าแพรหลากสีปลิวไสวหยอกล้อสายลม ราวกับว่ามีใครสักคนกำลังโบกสะบัด บริเวณนี้คือถิ่นที่อยู่ของข้า-ข้าผู้ไม่เคยปรากฏนามแท้จริง ใครก็ตามเมื่อมาถึงที่แห่งนี้ต่างก้มหัวลงค้อมคารวะข้า แม้แต่เจ้าผู้มาใหม่ก็เช่น จงย่อเข่าของเจ้าลงแล้วค้อมคารวะข้า ไม่ต้องสงสัยสิ่งใด หากเจ้าไม่ใช่ลูกหลานของคนเมืองนี้คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ เพียงเห็นหน้าเจ้าครั้งแรก ข้าก็จำได้ อดีตภพชาติ เจ้าเคยฝังสายรกไว้ที่นี่ ใต้ผืนดินสิงห์ท่าแห่งนี้ ข้ารู้ทุกอย่าง เพราะข้าผู้เฝ้ามองความเป็นไปทุกอย่างของเมืองสิงห์ท่าแห่งนี้

นานเท่าไหร่แล้วที่ข้าจมอยู่ใต้ลำชี ข้าผ่านความเหน็บหนาวมายาวนานนัก ไม่มีใครรู้ว่าทุกข์ทนทรมานเพียงใด ลองกรองดูเอาเถิดใต้พื้นน้ำและโคลนตม ข้าถูกถมทับนับร้อยปี เจ้าเห็นสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นทำกับข้าไหม พวกเขาเอาข้าขึ้นมาจากลำชีแล้วห่มสไบแพรหลากสีให้ พวกเขาล้วนเห็นประโยชน์จากข้าทั้งนั้น แต่นั่นไม่ใช่ความผิด เพราะข้าก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ในโคลนตมนั้นข้าเหน็บหนาวเกินจะต้านทานไหว

เจ้ามาที่นี่ก็เพียงเพื่อประโยชน์ของเจ้าเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวอ้างเหตุผลอย่างอื่นหรอก จงสาธยายความต้องการมา เจ้าก็เหมือนคนอื่นที่คอยพนมมือขอความช่วยเหลือ นอกจากตัวเลขบางตัวที่พวกเขาพากันจินตนาการไปเองทั้งนั้น ข้าก็ไม่มีสิ่งอื่นใดจะหยิบยื่นให้อีก

เจ้าดูผิวที่แห้งเปรอะโคลนของข้าสิ มันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์เหมือนตอนยังมีชีวิต แต่หากคนพวกนั้นไม่พากันทำริยำ ข้าคงไม่ต้องนอนนิ่งใต้โคลนตมมายาวนานเช่นนี้ อย่าไปพูดถึงความริยำของพวกมัน ในตอนนี้ข้าเพียงอยากรู้เหตุแห่งการมาของเจ้า ทำไมถึงดั้นด้นมาจนถึงเมืองสิงห์ท่า มีอะไรสำคัญสำหรับเจ้าอย่างนั้นหรือ สำหรับข้าแล้วเมืองสิงห์ท่าไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีก ตั้งแต่นครเขื่อนขัณฑ์กาบแก้วบัวบานล่มสลายลงไปในคราที่สงครามยังเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะตามลำชี เพราะสงครามแย่งชิงแผ่นดิน ผู้คนริมฝั่งชีจึงพากันเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ ข้าเห็นผู้คนหลายต่อหลายรุ่นหลั่งเลือดรดผืนดินซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สงครามไม่เคยให้อะไรใครแม้จะยิ่งใหญ่เพียงใด ดูอย่างพระวรวงศา พระเจ้าวอ และเหล่าสมัครพรรคพวกนั่นประไร อุตส่าห์หลบลี้หนีจากเมืองหนองบัวลุมภูมาพักพิงยังเมืองสิงห์ท่า พวกเขายังพากันอยู่ไม่ได้จนต้องเตลิดเปิดเปิงลงไปทางใต้ถึงดอนมดแดงโน่น ไปไกลปานนั้นก็มิวายหลุดพ้นความตาย

สงครามไม่ทำให้ใครเป็นใหญ่อย่างเที่ยงแท้ และไม่ได้ทำให้ใครเป็นรองอย่างแท้จริง หากเจ้ามีกำลังไพร่พลเพียงพอ เจ้าก็มีสิทธิเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสงครามได้

 

ก่อนเจ้าจะเอ่ยปากขอสิ่งใด ข้าอยากเล่าบางเรื่องให้ฟัง เมื่อเล่าจบแล้วเจ้าจะหาว่าข้าเป็นคนปดมดเท็จอย่างไรนั่นก็สุดแล้วแต่ ผิดถูกข้ามิอาจตัดสิน แต่ข้าขอเล่าตามที่เฝ้ามองมาตลอดอายุของข้าเท่านั้น

เมืองสิงห์ท่าในคราก่อนโน้นสงบเงียบ-เงียบจนผู้คนเรียกว่าดงผีสิงเลยทีเดียว อย่าได้ไปสนใจเลยว่าทำไมผู้คนเรียกเช่นนั้น เจ้าก็ดูเอาเถิดบ้านเมืองอะไรซ่อนตัวอยู่ในดงไม้ดกหนา ราวกับเป็นเมืองลับแล ทางเข้าทางออกมีทางเดียวคือลัดเลาะตามลำชี ดงผีสิงนั้นปกปิดความอุดมสมบูรณ์เอาไว้ น้ำท่าดี ข้าวปลาอาหารมิขาดแคลน ผู้คนในเมืองรักความสงบ

แต่ในความสงบ ข่าวสงครามจากที่นั่นที่นี่ยังแว่วมาให้ชาวเมืองสิงห์ท่าได้รับรู้อยู่ตลอดเวลา เสบียงกรังถูกเก็บสะสมเอาไว้มากมาย ความสงบก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อพลพรรคของพระวรวงศากับพระเจ้าวอหลบหนีภัยสงครามหลังสูญเสียพระเจ้าตาในคราสงครามที่เมืองหนองบัวลุมภู

สิงห์ท่าที่เคยสงบเงียบก็เหมือนว่ากลิ่นอายของสงครามโชยข้ามมาตามลำชี สิงห์ท่าที่เคยอยู่เย็นเป็นสุขก็โดนภัยของสงคราม และโดนกระหน่ำด้วยโรคระบาด ผู้คนล้มตายจำนวนมาก บางหมู่บางกลุ่มก็หอบหิ้วกันหนีจากฝั่งชีลัดเลาะไปจนถึงฝั่งมูล

ในที่สุดเมื่อคนกลุ่มสุดท้ายลับหายจากสายตาข้าไป สิงห์ท่าก็กลายเป็นเมืองร้าง แม้แต่สิงห์แกะจากหินทรายสีแดงที่ชาวเมืองสร้างไว้กราบไหว้บูชาตั้งแต่ยุคสมัยเริ่มสร้างบ้านแปงเมืองก็ถูกทิ้งไว้กับความทรงจำอันแสนปวดร้าวนั้น

ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านน้ำในลำชีแห้งลงแล้วก็ท่วมท้นเป็นอยู่เช่นนั้นหลายชั่วอายุคน ในคราที่ดอนมดแดงโดนน้ำท่วมใหญ่ เจ้าคำผงน้องเจ้าวอก็พาผู้คนหนีน้ำท่วมมาสร้างบ้านแปงเมืองแห่งใหม่ เมืองใหม่นั้นชื่อ “อุบลราชธานี” มีพระปทุมสุรราชาเป็นผู้ครองนคร ฝ่ายน้องพระปทุมสุรราชาเห็นบ้านเมืองสงบดีจึงพานางอูสาและไพร่พลกลับมาอยู่ยังเมืองสิงห์ท่าอีกครั้ง นางอูสาเป็นคนเก่งช่วยน้องชายของพระปทุมสุรราชาสร้างบ้านแปงเมืองเจริญรุ่งเรืองจนสิ้นยุคสมัยของนาง ตำนานดงผีสิงจึงถูกลืมเลือนไป

สิงห์ท่าเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ ด้าน ทั้งวัดวาอารามก็งดงามเกินหน้าเกินตาเมืองอื่น ราว พ.ศ.2357 สิงห์ท่ากลายมาเป็นเมืองยศสุนทร มีเจ้าราชวงค์สิงห์เป็นผู้ปกครอง และเรื่องราวของข้าก็ดูเหมือนจะแจ่มชัดในช่วงเจ้าราชวงค์สิงห์นี่เอง

ครานั้นเป็นฤดูฝนใหม่ ฝนตกหนักทั้งคืนทั้งวัน น้ำในลำชีสูงขึ้น ข้าต้องยืนหยัดต้านแรงลมของฤดูฝนใหม่ ลูกหลานของข้าที่เพิ่งเติบใหญ่ขึ้นภายหลังมิอาจต้านทานแรงลมมหาศาลนั้นได้จึงพากันล้มลง ข้าเองแม้จะผ่านมาหลายฤดูฝนก็แพ้พ่ายต่อลมแรงนั้น ร่างของข้าถูกแรงลมโค่นลงแนบซบลำชี กิ่งก้านใบหล่นร่วงเกลื่อนลำชี ลมหายใจของข้าขาดลง หลังไม่อาจต้านทานแรงน้ำมหาศาลจากลำชี

ร่างของข้าถูกพัดไปตามลำชี จากดงป่าจนมาถึงท่าน้ำของเมืองสิงห์ท่า แล้วร่างของข้าก็ค่อยๆ จมลงสู่พื้นน้ำ

จากวันเป็นเดือน จากเดือนล่วงเข้าเป็นปี จากปีผ่านไปหลายปี โคลนตมเริ่มถมทับในที่สุดร่างของข้าก็ถูกกลืนหายไป

ปัจจุบันพลันมาเยือน

เหมือนสายลมห่มแผ่นดิน

 

แดดสายของวันเริ่มคลี่ม่านสยายปีกไปทั่วผืนดินแล้งของเดือนห้า น้ำในลำชีแห้งขอด ตลิ่งที่สูงชันเหลือเพียงเรื่องเล่า เพราะโครงการขุดลอกลำชีที่กำลังเริ่มต้นขึ้น ตลิ่งสูงถูกตัดเฉือนให้ลดระดับลง ลำชีถูกขยายกว้างออกไปจากเดิม แต่ขณะโครงกรขุดลอกลำชีดำเนินไปนั้นก็พลันสะดุดลง เพราะความฝันของยายกอง ความฝันที่ทำให้คนขับรถขุดดินหวาดหวั่นจนไม่กล้าจะขยับรถขุดดินไปตามแผนงานที่วางไว้

เสียงคำรามของรถขุดดินแผดก้อง ริมตลิ่งผู้คนต่างเฝ้ามองบริเวณที่รถขุดดินทำงาน หากความฝันของยายกองเป็นจริง หลายคนอาจจะมีโชคเหมือนแก เรื่องโชคของยายกองคงต้องย้อนกลับไปเมื่อรุ่งสางของวันพระ ก่อนจะลุกขึ้นมานึ่งข้าวและเตรียมสำรับไปวัด ยายกองได้ฝันประหลาด แกฝันว่าตัวแกเดินไปยังลำชีเพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งพาไป ผู้หญิงคนนั้นนุ่งผ้าซิ่นสีเขียว ห่มสไบสีแดง ผมยาวเลยบ่า ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเรียวเล็ก จมูกสันเป็นคม นางไม่ใช่คนแถวนี้เป็นแน่ นางจูงมือยายกองไปเรื่อยๆ ตัวยายกองเองก็ไม่กล้าถามว่าจะพาไปไหน แม้แต่ความกลัวก็ไม่มี จนไปถึงลำชีนั่นแหละ นางจึงปล่อยมือยายกองแล้วนั่งลงร้องไห้

เสียงร้องไห้ของนางโหยหวนเย็นเยือก นางชี้มือไปยังลำชีแล้วบอกว่าช่วยพานางขึ้นจากลำชีด้วย นางหนาวเหลือเกิน นางอยู่ในลำชีมาหลาร้อยปีแล้ว ผิวหนังของนางเปื่อยยุ่ยไปหมด หากยายพานางขึ้นจากลำชีได้ ยายอยากได้อะไรนางจะหามาให้ พอพูดเสร็จ นางก็ก้มหน้าร้องไห้ ปากก็พร่ำบอกขอความช่วยเหลือจากยายกอง

หลังตั้งสติได้ยายกองก็ถามนางว่าจะให้ช่วยยังไง ครู่เดียวนางก็พลั่งพรูถ้อยคำออกมา หลังพูดเสร็จ นางก็หายไปราวกับฝุ่นของถนนดินแดงที่หายไปกับลมแล้ง เสียงไก่ขันทำให้ยายกองสะดุ้งตื่น เสียงร่ำไห้ของนางคนนั้นยังดังแว่วอยู่ในหู ตลอดเช้านั้นยายกองเก็บงำความฝันประหลาดไว้เพียงลำพัง

หลังกลับมาจากทำบุญ ยายกองจึงออกไปลำชี เพื่อไปดูจุดที่นางพาเดินไป ภาพจริงและความฝันเป็นดุจเดียวกัน

 

ยายกองนั่งทบทวนความฝันอีกครั้ง แล้วเสียงร้องไห้นั้นก็ลอยล่องมาจากที่ไหนสักแห่ง ยายกองจำเสียงร้องไห้นั้นได้ แกแน่ใจว่าจุดที่ตัวเองนั่งคือจุดที่นางคนนั้นอาศัยอยู่ ก่อนจะเดินกลับบ้าน ยายกองได้พูดไปว่า “แม่มาแล้วเด้นาง สิให้ช่วยอี่หยัง แม่กะสิมาช่วย แต่สิเอานางขึ้นมาได้จั่งใด่ เงินคำสิจ้างคนมาขุดะกะบ่มี มื้อแลงนี้ท่าแม่ถึกเลขถึกเบอร์สิหาคนมาขุดนางเด้”

เย็นนั้นข่าวการถูกหวยของยายกองผู้ฝักใฝ่ธรรมะ ไปวัดไม่เคยขาดก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านราวกับไฟลามทุ่งแล้ง นั่นแหละความฝันของยายกองจึงถูกเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง หลังจากเจ้ามือหวยเอาเงินค่าหวยมาส่ง ยายกองได้ไหว้วานให้ลูกหลานไปจ้างรถขุดดินมาขุดดินตามความฝัน

ในตอนแรกผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้านและชาวบ้านหลายคนคัดค้าน เพราะกลัวว่าจะทำให้ตลิ่งพังเสียหาย แต่เมื่อเห็นความตั้งใจและทนการขอร้องจากยายกองไม่ไหว การขุดดินจึงเริ่มขึ้น

ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที รถขุดดินคันนั้นก็ขุดพบซากขอนไม้ยาวราวยี่สิบเมตร บริเวณลำต้นใหญ่ราวห้าคนโอบ หลายคนงุนงงสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้จมอยู่ในน้ำโดยที่พวกเขาไม่รู้เลย ทั้งที่น้ำในลำชีก็แห้งขอดปานนั้น

ในตอนที่รถขุดดินค่อยๆ ดันขอนไม้นั้นขึ้นมาริมตลิ่ง แดดบ่ายที่ร้อนแรงก็ถูกบดบังด้วยเฆมก้อนใหญ่ บริวเณลำชีแห่งนั้นเหมือนอยู่ในช่วงค่ำ ทันทีที่ขอนไม้นั้นขึ้นมาพ้นตลิ่งแสงแดดกลับมาอีกครั้ง คนที่มามุงดูเหตุการณ์อยู่ริมตลิ่งต่างพากันกรูเข้าไปยังขอนไม้ ยกเว้นยายกองเพียงคนเดียว

แกได้ยินเสียงกระซิบมาจากที่ไหนสักแห่ง แกจำได้แม่นว่าเสียงกระซิบนั้นเป็นเสียงของนางคนนั้นอย่างแน่นอน ผู้ใหญ่บ้านรีบขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านจากนั้นจึงประกาศเสียงตามสายให้พวกผู้ชายพากันออกไปยังลำชี คนที่มีรถไถนาให้เอารถไถนาไปด้วย เพื่อช่วยกันบรรทุกขอนไม้นั้นกลับมาหมู่บ้าน

พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายเข้าสู่บ่าย ฉับพลันหมู่เฆมก็รวมตัวกัน จากนั้นไม่นานฝนก็ตกลงมา ผู้คนต่างพากันเร่งรีบกลับบ้านท่ามกลางสายฝน ฝนตกอยู่ราวครึ่งชั่วโมงฟ้าก็แจ้งจางปาง คนในหมู่บ้านกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง สิ่งที่ได้เห็นในตอนนี้คือโคลนตมที่ติดอยู่ตามขอนไม้หายไปจนหมดสิ้น ขอนไม้นั้นสะอาดสะอ้านราวกับว่าไม่เคยจมอยู่ในโคลนมาก่อน

ลมทุ่งของฤดูแล้งพัดมาแผ่วเบา เทียนและธูปหลายเล่มถูกจุดขึ้น อดีตคนตัดไม้รับจ้างหลายคนต่างลงความเห็นกันว่าขอนไม้นั้นเป็นไม้ตะเคียนที่ใหญ่กว่าไม้ตะเคียนหลายต้นที่พวกเขาเคยเห็นมา

ความมืดค่ำโอบคุลมเข้ามา รถขุดดินเงียบเสียงลง คนกลับบ้านหมดแล้ว ขอนไม้ตะเคียนใหญ่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

 

เมื่อแสงเช้ามาเยือน คนจากต่างหมู่บ้านก็แห่แหนกันมาดูขอนไม้ตะเคียน บ้างก็ขนานนามให้ว่า “เจ้าแม่ตะเคียนทอง” แน่ละแต่ละคนต่างหวังโชคลาภจากแม่ตะเคียนทองกันทั้งนั้น ยายกองปรากฏตัวในตอนสาย แกมาพร้อมกับผ้าแพรเจ็ดสี เจ็ดศอก ที่เตรียมมาผูกให้กับแม่นางตะเคียน การบนบานศาลกล่าวต่างๆ เริ่มต้นขึ้น หลายคนอยากให้วันคืนผ่านไปรวดเร็ว เพราะพวกเขาต่างหวังจะถูกหวยรวยเบอร์ สิบคนต่างมองเห็นตัวเลขที่ต่างกันออกไป แล้วเมื่อถึงวันหวยออก หลายคนสมหวัง หลายคนผิดหวัง แต่คนผิดหวังมีน้อยกว่า เลขเด็ดจากเจ้าแม่ตะเคียนทองเจ้ามือหวยหลายเจ้าไม่กล้ารับแทงหรือรับแทงก็จ่ายเพียงครึ่งเดียว ผู้คนยิ่งมาเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ศาลเพียงตาสวยงามถูกสร้างขึ้น ขอนไม้ตะเคียนถูกปิดด้วยแผ่นทองและถูกผูกด้วยผ้าแพรหลายสี

คนมากันมากมายจากทั่วสารทิศราวกับย้อนไปสู่อดีตในคราที่เมืองสิงห์ท่าได้ต้อนรับกองคาราวานจากเมืองหนองบัวลุมภู แต่การมาถึงของผู้คนในยุคสมัยใหม่ อาจต่างจากการมาถึงของเจ้าวอ ความหวังเดียวของพวกเขาคือการมาขอโชคลาภจากขอนไม้ตะเคียน

ยายกองหลังจากถูกหวยงวดแรก แกก็ถูกติดต่อกันอีกหลายงวดจนศาลาบังฝนบังแดดเจ้าแม่ตะเคียนทองสร้างเสร็จนั่นแหละ แกจึงไม่ถูกหวยอีกเลย นอกจากยายกองแล้วก็ไม่มีใครถูกหวยจากการบนบานศาลกล่าวกับเจ้าแม่ตะเคียนทองอีกเลย

หลังผู้คนอับโชค ขอนไม้ตะเคียนถูกทิ้งร้างกลายเป็นขอนไม้ผุกร่อน มิต่างอะไรจากเรื่องราวของเมืองสิงห์ท่าแต่หนหลัง ผู้คนต่างมาและจากไป ประวัติศาสตร์ก็ผุกร่อนไปตามกาลเวลาของมัน เรื่องราวใหม่ๆ ถูกสร้างขึ้นทุกวัน ขอนไม้ตะเคียนอาจผุดขึ้นที่ไหนก็ได้ ลำชีวันนี้ก็เช่นกัน เมื่อหน้าฝนมาเยือนน้ำที่เคยแห้งขอดก็จะเลือนหายไป สิงห์แกะจากหินทรายสีแดงอันเป็นตำนานบทหนึ่งของสิงห์ท่าก็จะเลือนหายไปเช่นเดียวกันกับตำนานบทอื่นๆ

เมื่อหลายอย่างเลือนหายไป เสียงร่ำไห้ที่ยายกองเคยได้ยินอาจเป็นเสียงร่ำไห้ของผู้คนในเมืองสิงห์ท่าเสียเอง

 

แดดบ่ายยังคงร้อนแรง ชายบ้าในสายตาของคนอื่นได้เดินผ่านมายังศาลเจ้าแม่ตะเคียนทองนั้น ขณะที่เขากำลังเมียงมองเข้าไปในศาล พลันก็เกิดเสียงดังประหลาดจนเขาสะดุ้ง ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งพนมมือ เขาได้ยินเสียงผู้หญิงบอกให้เขาก้มหัวลงคาราวะ เขาอาจเป็นคนสุดท้ายที่จะได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับเมืองสิงห์ท่า นานเนิ่นนานที่ชายบ้านั่งพนมมืออยู่หน้าศาลของเจ้าแม่ตะเคียนทอง ชาวบ้านที่ผ่านมาผ่านไปต่างเมียงมองแล้วหันกลับไปพูดพูดคุยแล้วหัวเราะขบขัน

คล้อยค่ำลงแล้ว ชายบ้าลุกออกจากศาลเจ้าแม่ตะเคียนทองเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ปากของเขาก็พร่ำพูดแต่คำว่า “คนเมืองสิงห์ท่าจะประสบเภทภัย จากนี้ไปน้ำในลำชีจะท่วมเมืองสิงห์ท่าทุกปี คนแก่จะกลายเป็นเด็กน้อยอู่นอนเปล คนหนุ่มสาวจะกลายเป็นคนแก่เคี้ยวหมากปากแดง สิงห์ท่าจะจมหายไปกับลำชี ขอนไม้จะลอยฟ่อง ผู้คนจะพากันไปกราบไหว้ขอนไม้ วัดวาอารามจะร้างพระสงฆ์ คนหนุ่มหิวข้าวจนต้องฆ่าแม่ตัวเอง บาปกรรมเขาต้องสร้างพระธาตุไถ่ถอน ทุกปีลูกไฟจะพุ่งขึ้นจากดินไปจนถึงพระยาแถน ฝนจึงจะตกลงมา” ชายบ้าคนนั้นพูดประโยคนี้ซ้ำๆ ขณะเดินไปตามถนนในหมู่บ้าน

กลางดึกคืนหนึ่งขณะหลายทุกคนกำลังหลับก็พากันสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงดังเปรี้ยงราวกับฟ้าผ่ามาจากศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง เสียงนั้นสร้างความตระหนกตกใจให้คนในสิงห์ท่าไม่น้อย รุ่งเช้าหลายคนต่างพากันมุ่งไปยังศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง เมื่อไปถึงหลายคนตกตะลึง ศาลเจ้าแม่ตะเคียนทองทั้งหลังหายไปแล้ว ขอนไม้ตะเคียนทองก็หายไปด้วยเช่นกัน

หลายคนเดินสำรวจทั่วบริเวณพวกเขาพบว่ามีรอยเท้าขนาดใหญ่ของสัตว์บางประเภทที่คนในสิงห์ท่าไม่เคยเห็นลากขอนไม้ตะเคียนลงไปยังลำชี

เหตุการณ์นั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในสิงห์ท่าไม่ใช่น้อย ขณะที่ชาวสิงห์ท่ากำลังมุงดูรอยเท้าประหลาดนั้น ในลำชีก็ปรากฏรูปปั้นสิงห์ค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นมาจากลำชี ชั่วการกะพริบตา สิงห์ตัวนั้นก็กลายเป็นลูกไฟพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า แล้วฟ้าที่เคยเปล่าแปน เมฆก็เทฝนลงมาหนักหน่วงรุนแรง

ราวกับว่าลูกไฟนั้นเป็นหมุดหมายให้แถนรับรู้ว่าเวลาของฤดูแล้งสิ้นสุดลงแล้ว

และมันถึงเวลาที่แถนจะต้องส่งสายฝนลงมา •