KILLERS OF THE FLOWER MOON | ‘อมนุษยธรรม’

นพมาส แววหงส์

Killers of the Flower Moon เป็นผลงานล่าสุดของมาร์ติน สกอร์เซซี ที่แฟนหนังล้วนรอคอย เปิดตัวฉายในเทศกาลภาพยนตร์คานส์เมื่อกลางปีนี้ และเพิ่งจะเข้าฉายในโรงหนังในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง

คงอีกไม่นานก็จะลงช่องให้สตรีมดูได้ละค่ะ

แทบจะไม่ต้องมีการแนะนำ สกอร์เซซีเป็นตำนานของผู้กำกับหนังผู้ยิ่งยงในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ หนังเรื่องแรกที่ทำให้เขาเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจในวงการคือ Mean Street (1973)

แต่ที่มาโด่งดังเปรี้ยงปร้างคือ Taxi Driver (1976) พร้อมกับดาราคู่ขวัญที่อยู่ยงคงกะพันคู่กับสกอร์เซซีมาตลอดจนถึงบัดนี้ คือ โรเบิร์ต เดอนีโร

หนังของสกอร์เซซีที่ผู้เขียนชอบมากและดูซ้ำบ่อยๆ เมื่อไรที่เปิดมาเจอก็ติดหนับไปไหนไม่รอด คือ The Age of Innocence (1993, แดเนียล เดย์ ลูวิส และ มิเชลล์ ไฟเฟอร์) ซึ่งมีเนื้อหารักโรแมนติกแบบที่ออกจะเฉไฉไปจากสไตล์หนังแกงสเตอร์ตามแบบของสกอร์เซซีไปหน่อย

Killers of the Flower Moon เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกันในยุคต้นศตวรรษที่ 20 ในยุคของเคาบอยตะวันตกที่คนฆ่ากันตายเป็นว่าเล่น และบ้านเมืองยังนับว่าไร้ขื่อไร้แป หรือขื่อแปยังเข้าไปจัดการรักษาความยุติธรรมไม่ได้

สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกัน ซึ่งเขียนเมื่อ ค.ศ.2017 โดยนักเขียนชื่อ เดวิด แกรนน์ ชื่อรองซึ่งเป็นสร้อยตามมาคือ The Osage Murders and the Birth of the FBI

หนังสือสาธยายความเป็นมาและเหตุการณ์อันน่าอัปยศซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมและเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์อเมริกา ซึ่งรวมไปถึงกำเนิดและระยะเวลาก่อตัวขององค์กรเอฟบีไอ ภายใต้การนำของ เจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์

แทนที่จะใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบการคลี่คลายปมคดีปริศนา ว่าใครเป็นตัวการและคนลงมือกระทำ สกอร์เซซีเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวนี้จากมุมมองของกลุ่มตัวละครที่เป็นต้นเรื่อง

ดังนั้น เราจึงไม่ต้องลุ้นมองหาตัวคนผิด หรือผู้ต้องสงสัย ได้แต่ติดตามว่าคนผิดจะถูกนำเข้ากระบวนการยุติธรรมอย่างไร และเรื่องราวจะไปลงเอยที่ไหนอย่างไร

ในแง่นี้ สกอร์เซซีเน้นความสนใจไปที่การสำรวจดูธรรมชาติของความชั่วร้ายในตัวมนุษย์ ในลักษณะของหมาป่าหรือหมาในที่หมายตาจ้องจะตะครุบเหยื่อ

หนังเปิดและจบลงด้วยภาพพิธีกรรมของคนเผ่าโอเสจ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกามาก่อนหน้าที่ชาวยุโรปจะไปถึงและก่อตั้งอาณานิคมจนกลายเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน

ยุคไวลด์เวสต์ เป็นสมัยที่คนผิวขาวมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกของทวีปเพื่อตั้งถิ่นฐาน และต้องสู้รบปรบมือกับชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ แน่นอนว่าคนผิวขาวมีปืนเป็นอาวุธที่ทรงพลังยิ่งกว่า ทำให้คนพื้นเมืองต้องยอมเจรจาสงบศึก สูญเสียดินแดนและสิทธิเสรีภาพมากมาย

โอเสจถูกผลักดันออกจากถิ่นฐานเดิมไปตั้งรกรากอยู่ในถิ่นทุรกันดารไกลโพ้นที่ทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล ซึ่งคนขาวไม่ต้องการ

ทว่าด้วยโชคหรือเคราะห์ก็ไม่ทราบได้ ดินแดนที่โอเสจเข้าจับจองครอบครองกลับกลายเป็นบ่อทองคำ ด้วยการขุดพบแหล่งน้ำมันดิบ

ซึ่งทำให้ชาวโอเสจร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน

หนังช่วงต้นๆ นี้นำเสนอในลักษณะ “หนังเงียบ” ของยุคสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นการพบ “ทองดำ” หรือสภาพความมั่งมีศรีสุขของชาวโอเสจที่แต่งกายภูมิฐานและขับรถยนต์โก้เก๋

พร้อมตัวหนังสือแบบในหนังเงียบในทำนองว่า ชาวโอเสจกลายเป็นชนชาติที่ร่ำรวยที่สุดในโลกโดยเฉลี่ยประชากรต่อคน

รวมทั้งการตายและฆาตกรรมชวนฉงนครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่มีการสอบสวนหรือคดีถูกทิ้งค้างคาไว้

การเปิดเรื่องโดยโปรยไว้แบบนี้ ตามมาด้วยการมาถึงของเออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต (ลีโอนาร์โด ดิแคปริโอ) ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นั่งรถไฟดั้นด้นมาหางานทำโดยมาตั้งต้นที่บ้านของลุงชื่อ วิลเลียม “คิง” เฮล (โรเบิร์ต เดอ นีโร)

เออร์เนสต์ไม่ใช่ทหารกล้า เขาบอกลุงอย่างซื่อๆ ว่าเขาผ่านศึกมาได้เพราะเขาเป็นพ่อครัว ไม่ได้ออกรบแนวหน้า และเฮลก็ผสมผเสหัวเราะเป็นการยกยอความสำคัญของหลานชายว่า “กองทัพต้องเดินด้วยท้องนี่นะ”

เออร์เนสต์ขับรถแท็กซี่รับจ้าง และหนึ่งในผู้โดยสารประจำของเขาคือ มอลลี่ (ลิลี แกลดสโตน) เจ้าของที่ดินแหล่ง “ทองดำ” เนื่องจากมอลลี่เป็นอินเดียนที่ถูกประทับตราว่า “ไร้สมรรถภาพ” เธอจึงไม่มีสิทธิจัดการทรัพย์สินของตัวเอง แต่อยู่ใต้ “ผู้ปกครอง” ที่เจ้าหน้าที่รัฐมอบหมายให้ดูแล

ไม่ว่าบุคคลผู้อยู่ในสถานะ “ไร้สมรรถภาพ” ตามสายตาของกฎหมาย จะใช้จ่ายอะไรที่เป็นทรัพย์สินของตัวเอง ก็ต้องผ่านการอนุมัติของผู้ปกครองทั้งสิ้น

อเมริกาอยู่ในช่วงของความพยายาม “กลืนชาติ” คนพื้นเมืองอินเดียนแดงทั้งหลาย โดยให้รับการศึกษา วิถีชีวิตและค่านิยมตามแบบคนผิวขาว

หนึ่งในผลพวงที่ปรากฏเป็นรูปธรรมตามมา คือ คนพื้นเมืองที่เปลี่ยนวิถีชีวิตมากินอาหารของคนผิวขาว เริ่มกลายเป็นเบาหวาน และเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บที่ลดทอนคุณภาพชีวิตมากขึ้น

เช่นเดียวกับมอลลี่ ซึ่งเป็นเบาหวานตั้งแต่ยังอายุไม่มาก และปัญหาด้านสุขภาพทำให้เธอต้องตกเป็นเบี้ยล่างและ “ไร้สมรรถภาพ” อยู่กลายๆ

เออร์เนสต์ได้รับการยุยงให้ผูกสัมพันธ์กับมอลลี่ เพื่อผลประโยชน์ทางการเงินระยะสั้นและระยะยาว

และรู้ทั้งรู้ว่ารอบตัวเธอมีแต่ “หมาไน” ที่จับจ้องหมายตาเธอเป็นเหยื่อ แต่มอลลี่ก็ยอมจำนนแก่เสน่หาและความรัก

ด้วยฝีมือของนักแสดงมือฉมัง ตัวละครเหล่านี้มีระดับชั้นของความซับซ้อนเยี่ยงมนุษย์ ซึ่งบางครั้งก็ทำในสิ่งที่อยู่เหนือเหตุผลแบบที่ยากจะเข้าใจได้ง่ายๆ

การแสดงของลิลี แกลดสโตน ทำให้มอลลี่กลายเป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก เธอธำรงศักดิ์ศรีเยี่ยงชาวโอเสจผู้ทระนงในสายเลือดและวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ แต่ในขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนในตัวจากความรักและการมองไม่เห็นหรือมองข้ามข้อบกพร่องของคนในครอบครัว

หนังให้ความละเอียดและละเมียดละไมแก่ตัวละครและเล่าเรื่องอย่างไม่รวบรัด จนทำให้ความยาวกินเวลาถึงเกือบสามชั่วโมงครึ่ง

ความยาวขนาดนี้อาจเป็นข้อด้อยสำหรับบางคน และเป็นเรื่องที่ผู้เขียนเองก็ต้องทำใจเตรียมตัวไว้ในตอนแรก แต่ต้องบอกว่าระหว่างดู ไม่ได้รู้สึกในความยาวเลย เพราะหนังเล่าเรื่องราวด้วยภาพ เสียง จังหวะและความน่าจับตาของการแสดง จนเคลิ้มคล้อยไปกับการเดินเรื่องแบบมหากาพย์

ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปถึงสามชั่วโมงครึ่ง

สรุปว่าเป็นหนังดีมากๆ…ถึงมากที่สุด แฟนหนังที่อยากดูเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ น่าคิดสะกิดใจ และเตือนใจให้รู้ถึงธรรมชาติอันยากแท้หยั่งถึงของมนุษย์…ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดค่ะ

บอกได้เลยว่าหนังต้องได้เข้าชิงรางวัลใหญ่ๆ และเป็นที่กล่าวขวัญไปอีกนานเท่านาน… •

KILLERS OF THE FLOWER MOON

กำกับการแสดง

Martin Scorsese

แสดงนำ

Leonardo DiCaprio

Robert De Niro

Lily Gladstone

Jesse Plemons

ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์