ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
หลายสิบปีมาแล้วที่ภาพลักษณ์ตำรวจไม่สง่างาม ชื่อเสียงเกียรติภูมิองค์กรตกต่ำ ระบบบริหารงานภายในเหลวแหลก ฟอนเฟะ ล้าหลังไปกันไม่ได้เลยกับกาลสมัยที่เปลี่ยนแปลง
“การปฏิรูปตำรวจ” ถูกกล่าวถึงตลอดมาจากรัฐบาลหลายคณะทั้งจากพลเรือนและจากรัฐประหาร มีการตั้งคณะทำงานหลายครั้ง หลายชุดศึกษาพูดคุยถกเถียง ภายหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ของคณะ “3 ป.” หรือ “คสช.” ก็ทำท่าขึงขังจริงจัง แต่สุดท้ายระหว่าง “3 ป.” กับกลุ่มตำรวจใหญ่ที่หาประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่รู้ใครหลอกใคร
ตำรวจทำได้แค่เป็น “ผู้รับใช้นาย”!
การแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสูงขึ้นและสลับเก้าอี้นอกจากจะไม่มี “บรรทัดฐาน” แล้ว ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวอื้อฉาวสุดเน่า มีการซื้อขายตำแหน่งทั้งทางตรงทางอ้อมด้วยกลวิธีซับซ้อนซ่อนเร้น
ครั้งหนึ่งถึงขั้นมีนายตำรวจใหญ่กล้าพูดต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชากลางที่ประชุมว่า “ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ไม่ได้มามือเปล่า แต่มีการลงทุน”
ตำรวจระส่ำ ขวัญกำลังใจตกต่ำ แต่ละปีมีตำรวจทยอยโบกมือลาออกจากราชการ
“ผู้บังคับบัญชาตำรวจพันธุ์พิเศษ” ถูกสร้างขึ้นจากการเมืองเลว “นาย” ชนิดนั้นไปอยู่ที่แห่งหนใดที่นั่นก็เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
ความจริงที่โหดร้ายก็คือ รู้กันอยู่ทั่วไปว่าในทุกวันนี้ โรงพักหน่วยซึ่งสำคัญที่สุดนั้นในหลายพื้นที่ มักจะมีแต่ “นาย” ที่มาพร้อมกับ “ตัวเลข” ตั้งเป้าให้ “ชุดเฉพาะเก็บ” ปฏิบัติการ
ค่านิยมตำรวจเปลี่ยนไป ไม่มีหัวหน้าหน่วยที่มุ่งมั่นปรับปรุงพัฒนางานเพื่อความผาสุก ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ตำรวจด้วยกันก็หมดรักตำรวจ ลูกน้องสิ้นศรัทธาผู้บังคับบัญชา!
เหตุการณ์ที่ตำรวจระดับ “สารวัตร” ถูกสมุนกำนันจ่อยิงคาโต๊ะอาหารต่อหน้าต่อตาผู้บังคับบัญชาระดับ “ผู้กำกับการ” หลายนายนั้นยิ่งสะท้อนถึงภาวะ “สีกากีเลือดจาง”
ตำรวจพร้อมจะวิ่งหนีคนร้าย ตำรวจไม่กล้ายิงสวนต่อสู้กับคนร้าย ตำรวจไม่ปกป้องแม้แต่ตำรวจด้วยกัน ตำรวจไม่วิทยุระงับเหตุ ไม่สกัดจับคนร้าย ตำรวจกลัวอะไร!?
ตำรวจคงจะกลัวสารพัด กลัวเจ็บ กลัวตาย หรือกลัวว่าสู้ไปแล้ว ยิงสวนไปแล้วถ้าคนร้ายตาย หรือพรรคพวกของคนร้ายตาย “นาย” คนไหนจะช่วย
คนสู้คนเพื่อป้องกันตัว ยังถูกกล่าวหาว่า “อันตรายยังไม่ใกล้จะถึงตัว-ทำเกินกว่าเหตุ” อาจติดคุก
ตำรวจยิงคนร้าย ดีไม่ดีเสียเงิน แถมติดตะราง ลูกเมียเดือดร้อน
สมุนบริวารกับผู้มีอิทธิพลจึงเหิมเกริม
กระทั่งนักเลงกระจอกๆ อันธพาลในทุกวันนี้ยังกร่าง หมิ่นแคลนตำรวจ
คำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรดี
ก่อนจะมาเป็นตำรวจทุกคนย่อมต้องผ่านการอบรมฝึกฝน
เป็น “ความเชื่อ” ว่าการฝึกฝนอบรมสามารถเปลี่ยนคนได้
ถ้าจะว่ากันทางกายภาพ มนุษย์ทุกคนตามที่เห็นก็มีหัว มีใบหน้าหูตาปากคอจมูก ลำตัว แขน ขา มือ เท้า
แต่จะไม่มีชีวิตชีวาถ้าไม่มี “สมอง” อยู่ในหัว
“สมอง” น่าจะเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดที่ควบคุมระบบชีวิตทั้งหมดรวมถึงสัญชาตญาณการอยู่รอด
แต่แม้สมองจะเปิดรับเรียนรู้ก็ยังมีคำกล่าวว่า ถ้าคนเรา “ใจ” ไม่เปิดก็ดัดไม่ได้
การอบรมบ่มเพาะปลูกฝังเป็นวิธีการหนึ่งที่พยายามแง้มประตูหัวใจแต่ละคนให้เปิดรับสิ่งที่เรียกว่า “อุดมคติตำรวจ”
ตำรวจเป็นวิชาชีพที่มี “อุดมคติ” ที่ยิ่งใหญ่
ตำรวจทุกคนต้องผ่านการอบรมบ่มเพาะให้ “มีความเชื่อ”ว่าการทำหน้าที่รักษากฎหมายและการปกป้องคุ้มภัยให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั้นเป็นเกียรติภูมิที่สูงส่งของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”
แต่ “ชีวิตจริง” บนเส้นทางตำรวจ คนกล้าลงทุนเท่านั้นที่สามารถเลือกเก้าอี้ดีๆ ไม่มีลำดับก่อนหลังรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่มีเพื่อนพ้องมิตรแท้ จะมีก็แต่ข้อแลกเปลี่ยน บ่อยครั้งตำรวจห้ำหั่นกัน กลั่นแกล้ง หักล้าง ย้ายแบบเตะโด่ง ล้างผลาญกัน จากนครบาลไปเข้าพงเข้าป่าก็มี หรือจากอีสานสุดกู่มาอยู่ทำเลทองใจกลางกรุงก็เป็นไปได้
วงการสีกากีเป็นโลกของคนทะเยอทะยาน ยึดโยงด้วยเครือข่ายผลประโยชน์
ใช่หรือไม่ว่า การเป็นหัวหน้าสถานี เป็นผู้กำกับการ หรือเจริญเติบโตถึงชั้น “นายพล” นั้นไม่อาจรอให้ “ลำดับอาวุโส” มาเสย
หลายคนกำลังระริกกับ “พ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่”
ทั้ง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.คนใหม่ ก็เพิ่งจะชงบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายที่ถูกปากถูกคอ “ก.ตร.” เสร็จสิ้นไป
แต่อย่าลืมว่า พ.ร.บ.ตำรวจไม่ใช่ยารักษาสารพัดโรค
การแต่งตั้งโยกย้ายตามที่กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ใช้ “ลำดับอาวุโส” มากขึ้นกว่าเดิมนั้นเป็นแค่ 1 ปัจจัย ที่อาจช่วยลดปัญหาวิ่งเต้นข้ามหัวและข้ามห้วย
ก่อนหน้านี้ ในบางขณะ “ลำดับอาวุโส” ถูกใช้เป็นบันได ใครได้รับประโยชน์ก็หยิบเอามาอ้าง พอหมดประโยชน์ก็ชักบันไดหนี
ตอนที่แต่งตั้ง “ผบ.ตร.” ในปีนี้ก็มีความพยายามจะใช้ “ลำดับอาวุโส” โดยเคร่งครัด
แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้แน่นอนตายตัวว่า การแต่งตั้ง “ผบ.ตร.” ต้อง “เรียงลำดับ” ไป 1, 2, 3, 4, 5
“บิ๊กต่อ” จึงได้ทะยานฝ่าด่านอาวุโส จากลำดับที่ 4 ขึ้นนั่งเก้าอี้ “ผบ.ตร.”
คุณค่าของ “ลำดับอาวุโส” มีอยู่จริง แต่ใน “บางเงื่อนไข” ก็ไม่ใช่คำตอบสำหรับ “เนื้องาน”
ในอดีตเคยมีคนที่ใช้โอกาสจากการนั่งเก้าอี้ผู้นำหน่วย “กินทิ้งทวน” ก่อนเกษียณ
มีใครทำอะไรได้ ก็แค่ทำตาปริบๆ หรือทำตาขยิบ!
เปรียบไปแล้วองค์กรตำรวจมี “ขยะ” ทับถมหมักหมมนานเกินไป
1 ในนั้นคือการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับผู้นำหน่วย ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ก.ตร. ผบ.ตร. รอง ผบ.ตร. ผู้ช่วย ผบ.ตร. ลงไปจนถึง ผบช. และ ผบก. ทุกคนควรมีส่วนร่วมและมีส่วนช่วยในการคัดเลือกและส่งเสริมตำรวจที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความอาวุโสให้ได้เลื่อนตำแหน่งหรือโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่เหมาะสม
แต่เกือบ 10 ปีมานี้ ผู้มีอำนาจแค่อาศัยตำรวจเป็น “เครื่องมือ”
ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ใช่แก่นสารของวิชาชีพ
ภารกิจพิทักษ์สันติราษฎร์นั้นยิ่งใหญ่มีคุณค่ากับประเทศชาติและประชาชน ตำรวจควรได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้ก้าวหน้า ทันสมัย บังคับใช้กฎหมายอย่างสุจริตยุติธรรม!?!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022