เมื่อ ‘ต่อศักดิ์’ สั่งก็จบ-เลิกทรงผมขาว 3 ด้าน | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

เป็นอันว่า จากนี้ไปเราจะไม่ได้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกับทรงผม “ขาว 3 ด้าน” ที่เคยคุ้นหูคุ้นตาอีกต่อไปแล้ว เมื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ลงนามในคำสั่งยกเลิกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องให้ตัดผมสั้นขาวทั้ง 3 ด้าน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันตำรวจแห่งชาติ

แม้ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จะขอร้องไม่อยากให้มองทรงผมเป็นเรื่องใหญ่ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ได้กลายเป็นประเด็นข่าวฮือฮาขึ้นมา

เพราะทรงผมขาว 3 ด้าน กลายเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของตำรวจ เมื่อ 5 ปีก่อน

ทั้งยังทำให้ภาพรวมของตำรวจดูเหมือนๆ กันไปหมด เพราะทรงผมอันโดดเด่น คือ ขาว 3 ด้าน ตัดเหมือนกันถ้วนหน้า เป็นสัญลักษณ์ของระเบียบวินัยอันเข้มงวด

เมื่อมามีคำสั่งยกเลิก เป็นเหมือนการทำให้ตำรวจรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในด้านทรงผม รวมทั้งไม่ต้องตัดผมกันบ่อยๆ ไม่กี่วันก็ต้องตัด เนื่องจากต้องขาวจั๊วะทั้งสามด้าน ทำให้บางรายถึงกับซื้อปัตตะเลี่ยนเอาไว้ติดบ้าน วันสองวันก็ไถศีรษะทีให้ขาวอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น เมื่อมีข่าวยกเลิกทรงผมขาว 3 ด้าน จึงได้เห็นโทนข่าวออกมาในลักษณะ “ปลดล็อก” ลักษณะ “ตำรวจเฮกันทั่ว” อะไรแบบนี้

หากย้อนไปดูความเป็นมาของทรงผมขาว 3 ด้าน

ถือเป็นการปฏิวัติทรงผมตำรวจครั้งใหญ่ เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา เราจะได้เห็นตำรวจไว้ทรงผม “รองทรง” จะเป็นรองทรงสูงบ้าง หรือรองทรงต่ำบ้าง มีลักษณะหลากหลาย ไม่ได้เหมือนกันแบบเป๊ะๆ ทั้งกว่า 2 แสนคน

หนักกว่านั้น ตำรวจที่ทำงานด้านสืบสวน จะไว้ทรงผมอิสระยิ่งกว่า เนื่องจากต้องกลมกลืนในการปะปนกับผู้คนเข้าไปสืบสวนหาข่าวในแหล่งต่างๆ

อดีตที่ผ่านมา ตำรวจสายสืบถึงกับไว้ผมยาวเลยก็มี เพื่อให้เหมือนคนวัยหนุ่มทั่วไปในสังคมไทย

จนกระทั่งในยุค พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็น ผบ.ตร. ได้ออกระเบียบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติตนของข้าราชการตำรวจเมื่อแต่งเครื่องแบบ พ.ศ.2561 ระบุว่า ข้าราชการตำรวจชายทุกคนเมื่อแต่งเครื่องแบบ ให้ตัดผมสั้น ขาวทั้ง 3 ด้าน ความยาวด้านบนไม่เกิน 3 เซนติเมตร ส่วนข้าราชการตำรวจชายที่ปฏิบัติหน้าที่สืบสวนหรือการข่าวหรือป้องกันปราบปรามยาเสพติดเมื่อไม่แต่งเครื่องแบบให้ไว้ผมรองทรงสูง

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของตำรวจทรงผมขาว 3 ด้าน ในยุคบิ๊กแป๊ะ

ทั้งนี้ เชื่อมโยงมาจาก ระเบียบของกองทัพ ที่เข้มงวดให้ข้าราชการทหารตัดทรงผมขาว 3 ด้าน แสดงถึงความเข้มข้นในระเบียบวินัย เป็นกระแสสูงในหมู่ทหาร ที่แสดงถึงระเบียบวินัยอย่างเข้มข้น เป็นกองทัพที่เข้มแข็งจงรักภักดีอย่างสูง

 

กรณีทหารตัดผมขาว 3 ด้าน ยังไม่เป็นประเด็นมากเท่าไร เพราะทหารเป็นหน่วยงานที่มากด้วยระเบียบวินัยอยู่แล้ว ทหารจำนวนมากก็ตัดผมขาว 3 ด้านอยู่แล้ว แต่พอตำรวจหันมาตัดผมสั้นขาว 3 ด้านบ้าง กลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์

เพราะอาชีพตำรวจนั้นทำงานใกล้ชิดประชาชน ใกล้ชิดสังคม

มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็เป็นที่สะดุดตามองเห็นง่าย

อีกทั้งในหมู่ตำรวจเอง ก็มีเสียงบ่นกันไม่น้อย เมื่อจู่ๆ ต้องมาเปลี่ยนทรงผมเป็นขาว 3 ด้าน เนื่องจากลักษณะของชาวตำรวจนั้น จะมีความเป็นเสรีมากกว่าฝ่ายทหาร ที่โอดครวญกันมากคือ พวกที่ต้องทำงานด้านสืบสวน ยากต่อการปลอมตัว แฝงไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อสืบสวนหาข่าว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเสียงบ่นกันเช่นไร สุดท้ายตำรวจทั้งกว่า 2 แสนนาย ก็ปรับเปลี่ยนตัวเองหันมาไว้ทรงผมขาว 3 ด้านกันถ้วนหน้า จนกลายเป็นภาพคุ้นตาประชาชนไปแล้ว

ระเบียบทรงผมขาว 3 ด้าน เริ่มใช้ในยุค พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็ยืนยงต่อมาถึงยุค พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เป็น ผบ.ตร. มาจนถึงยุค พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ เป็น ผบ.ตร. ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล พ้นจากยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จากทหาร มาสู่ยุครัฐบาลพลเรือน ยุคนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน

เป็นจังหวะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยน ผบ.ตร.คนใหม่ เป็น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม จากนั้นวันที่ 17 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันตำรวจแห่งชาติ

คำสั่งยกเลิกระเบียบทรงผมขาว 3 ด้าน จึงปรากฏออกมา โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ระบุว่าเพื่อเป็นของขวัญในวันตำรวจ

ผบ.ตร.คนใหม่ล่าสุดอธิบายที่มาว่า ผู้บังคับบัญชาที่ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ตนเองเก็บข้อมูลมาตั้งแต่เป็นรอง ผบ.ตร. รับทราบเสียงสะท้อนของผู้ใต้บังคับบัญชา โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ได้เห็นปัญหาเรื่องทรงผมว่า ทรงผมกลายเป็นตัวชี้เป้าของผู้ก่อเหตุความไม่สงบ

การตัดสินใจเลิกทรงผมขาว 3 ด้าน ไม่ได้เป็นความคิดเฉพาะตัวเองแต่เป็นการพูดคุยระดับผู้บังคับบัญชาทั้งหมดที่มองเห็นความสำคัญของตำรวจในพื้นที่พิเศษ เช่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากนี้ทรงผมไม่ควรกลายเป็นเป้าของผู้ประสงค์ร้าย

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ยังปล่อยมุขให้ฮากันทั่วอีกด้วยว่า ที่ลำบากไปด้วยคือตำรวจที่ทำงานด้านสืบสวน การไว้ทรงผมขาว 3 ด้าน ถ้าจะปลอมตัวไปหาข่าว คงปลอมตัวได้อย่างเดียวคือปลอมเป็นพระ!

 

ทรงผมขาว 3 ด้านที่สร้างเอกลักษณ์ให้ตำรวจไทยมาได้ 5 ปี จึงเป็นอันถึงจุดอวสาน เมื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. โดยออกคำสั่งยกเลิกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2561 โดยให้ตำรวจชายเมื่อแต่งเครื่องแบบให้ไว้ผมสั้น โดยผมด้านบนความยาวไม่เกิน 5 ซ.ม. ด้านข้างและด้านหลังความยาวไม่เกิน 1 ซ.ม.

มองในมุมของ ผบ.ตร. บ่งบอกว่า เป็นการลดอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งทรงผมกลายเป็นตัวชี้เป้าให้ผู้ก่อความไม่สงบ

แน่นอนว่า เป็นคำสั่งที่มีส่วนผ่อนคลายให้ตำรวจทั้งองค์กร ลดความเข้มงวดในด้านทรงผมลงไป

พวกตำรวจสายสืบ เริ่มกลับมาไว้ทรงผมที่สามารถออกไปหาข่าว โดยไม่เป็นเป้าสายตาได้

แต่ก็เป็นที่รู้กันในแวดวงตำรวจว่า ถ้าไม่ใช่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ คงยากที่จะมีใครตัดสินใจยกเลิกทรงผมนี้ได้!!

เพราะเป็นทรงผมที่เป็นสัญลักษณ์มากมายหลายอย่าง เชื่อมโยงถึงความเป็นปึกแผ่นเชื่อมโยงกับกองทัพความรักความสามัคคีจงรักภักดี

ดังนั้น เมื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ลงมือยกเลิกเอง ก็คงไม่มีประเด็นปัญหาติดตามมา

เป็นการคืนทรงผมปกติให้กับวงการตำรวจ เป็นความผ่อนคลาย เพื่อให้การทำงานคล่องตัวมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจในพื้นที่สุ่มเสี่ยง เช่น 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถือว่าเป็นการปลดล็อกครั้งสำคัญ

แต่ก็อย่างที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์เน้นย้ำ คือ การปรับเปลี่ยนทรงผมตำรวจ ไม่ควรเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเรื่องใหญ่กว่าคือประสิทธิภาพในการทำงาน

ก็ควรเป็นเช่นนั้น จะทรงผมไหนก็ตาม ถ้ายังมีปัญหารีดไถรับส่วย พัวพันเจ้าพ่อมาเฟีย ยังเป็นเรื่องเสียหายอยู่วันยังค่ำ

จะทรงผมไหนก็ตาม ต้องปราบยาบ้าให้หดหายไปให้ได้ จัดการแก๊งมิจฉาชีพออนไลน์ที่หลอกลวงล้วงเงินประชาชนคนไทยแทบทุกเวลานาทีให้ได้!