ฉันเชื่อว่า มนุษย์ทุกคน เป็นคนธรรมดาก่อน | ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฉันกำลังเขียนอัตชีวประวัติของฟ้า พูลวรลักษณ์

บัดนี้มาถึงบทที่ ๒๓ ยุคแรกของไฟ (๒๕๖๖-๒๕๗๐)

2023-2027

ซึ่งจะบันทึกเรื่องราวของฉัน ในวัย ๗๐-๗๔ ปี รวมห้าปี

 

ฉันค่อยๆ เขียน ไม่ได้รีบร้อน

หัวใจของงานชิ้นนี้ คือการเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ตามความจริง

ฉันจะไม่ปกป้องตัวเอง หรืออวยตัวเอง

และจะมองตัวเอง จากสายตาคนอื่นด้วย พบว่าตัวเองควรได้ชื่อว่า เด็กที่ถูกตามใจ

 

ฉันตั้งใจว่า จะตีพิมพ์ในปี ๒๐๓๓

หรือขึ้นบทที่ ๒๕ ยุคแรกของฟ้าร้อง (๒๕๗๖-๒๕๘๐)

2033-2037

 

ในปัจจุบันนี้ ฉันอยากแบ่งอายุของมนุษย์ออกเป็นห้ายุค

ได้แก่

๑ วัย ๑-๒๐ เรียก วัยเด็ก

๒ วัย ๒๑-๔๐ เรียก วัยหนุ่มสาว

๓ วัย ๔๑-๖๐ เรียก วัยกลางคน

๔ วัย ๖๑-๘๐ เรียก วัยผู้มีอายุ

๕ วัย ๘๑-๑๐๐ เรียก วัยชรา

มันจะแตกต่างจากสมัยโบราณ ซึ่งคนอายุเกิน ๖๐ ถือว่าชราภาพมากแล้ว

แต่ยุคสมัยใหม่นี้ ฉันเห็นผู้คนมากมาย ยังแข็งแรง สุขภาพดี

มันคงเนื่องมาจากความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์ การรู้จักเลือกกินอาหาร การรู้จักดูแลสุขภาพ

ยุคนั้น คนอายุเกิน ๘๐ เรียกได้ว่าเป็นเซียน

หาได้ยากมาก

 

ฉันสังเกตว่า เมื่อคนเราเข้าสู่วัยชรา พอเกิน ๙๐ จะออกอาการ เรียกว่าหลายโรคจะรุมเร้า จะปรากฏตัวพร้อมกัน คนที่ปีที่แล้ว เห็นยังแข็งแรงดีอยู่ เพียงไม่ได้เห็นแค่ปีเดียว ก็เปลี่ยนไปมาก เหมือนอาหารหมดอายุ

หลายชีวิตทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าสู่ยุควัยชราตอนปลาย

ที่จะอยู่เกิน ๑๐๐ ก็มีบ้าง แต่เป็นเพียงยกเว้น

และส่วนใหญ่ จะหงำเงอะ ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้แล้ว

 

ดังนั้นเอง ฉันตั้งใจว่า หากอายุถึง ๘๐ จะตีพิมพ์อัตชีวประวัติของฉัน และยุคสุดท้ายนี้ ฉันตั้งชื่อว่ายุคฟ้าร้อง

แน่ละ ฉันอาจจะยังไม่ตาย

และอาจมีอายุไปได้อีก ๑ หรือ ๒ ยุค

แต่สมองของฉัน ไม่ใว้ใจ ว่ามันจะยังเฉียบคมอยู่หรือ

อาจบางที ในวัย ๙๐ ปี ฉันอาจเป็นอัลไซเมอร์เหมือนแม่ของฉัน

 

มีคนมาบอกฉัน ไม่ให้พูดเรื่องนั้น ไม่ให้พูดเรื่องนี้ เพราะว่าไม่งาม กระทบคนอื่น แสดงว่า พวกเขาไม่เคารพความจริง และนี่เป็นความป่วยไข้ของสังคม เพราะหากมนุษย์ไม่รักความจริงเสียแล้ว พวกเขาก็ทำพฤติกรรมมากมาย ได้อย่างไม่ละอาย พวกเขาไม่ยอมรับว่า ความจริงเป็นสิ่งสวยงามที่สุด

พวกเขาอาจย้อนว่า ยอมรับ แต่คนพูดความจริง ตายแล้ว

 

สำหรับฉัน ความจริงเป็นสิ่งสวยงามที่สุด

เพราะเราทุกคนเป็นคน และเราจึงทัดเทียมกัน

คนที่ไม่คิดเช่นนี้ คือคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเทพบุตร เป็นเทพธิดา มีอิทธิฤทธิ์ แต่แท้จริงมันคืออัตตา ที่หล่อเลี้ยงพวกเขาไว้ ให้กำเริบเสิบสาน และกระทำการต่ำช้า

 

วันหนึ่ง ฉันอ่านข่าวการเสียชีวิตของภรรยาของเจ้าสัว ฉันแค่แปลกใจ อยากรู้ว่าเธอเสียชีวิตเพราะอะไร แต่ค้นไม่เจอ เจอแต่ข้อมูลสรรเสริญเธอว่า เป็นนางฟ้า สองสามีภรรยารักกันปานจะกลืนกิน เธอมีคุณความดีใดบ้าง และสามีได้คร่ำครวญว่า อยู่ต่อกับเขาอีกสักสิบปีเถิด

คนเหล่านี้ไม่เคารพความจริง ไม่รักความจริง เพราะข่าวสารต่างๆ ที่ค้นหา ล้วนปกปิดข้อมูลว่า เธอป่วยเป็นโรคอะไร เธออายุ ๘๓ ปี คงไม่ใช่โรคชรา หากแต่เป็นโรคร้ายชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น มะเร็งตับ

 

๑๐

ทำไมคนเราคิดว่า มะเร็งตับเป็นสิ่งชั่วร้าย น่าเกลียด

มันคือความธรรมดา

ฉันเองก็อาจเป็นมะเร็งตับ หรือใครก็ได้ในโลก นี้คือความธรรมดาของสังขาร

 

๑๑

เธอป่วยเป็นโรคใด ฉันไม่รู้ มันไม่ใช่ความลับขั้นสุดยอด คงมีบันทึกไว้ที่ไหนสักแห่ง

อย่างน้อย ก็มีที่โรงพยาบาล

บางคนอาจท้วงว่า ฉันอยากรู้ไปทำไม

ที่จริงเรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก แต่ทว่า เมื่อมีข่าวออกมา ฉันก็แค่สงสัย อยากได้ข้อมูลที่ชัดเจน และในเมื่อคุณอุตส่าห์ลงข่าวยาวเหยียดหลายหน้า ทำไมจึงต้องปกปิดข้อมูลด้วย ในเมื่อข้อมูลเหล่านั้น ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย

ดีเสียอีก ฉันจะได้รู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคน

 

๑๒

ฉันดูคลิปของอาจารย์คนหนึ่งหลายคลิป พบว่าเขามีความคิดเฉียบแหลม หลายเรื่องก็น่าติดตาม แต่ทว่า พอฉันอยากรู้ว่า เขาอายุเท่าไร ก็ค้นหาไม่เจอข้อมูลอีกเช่นกัน น่าพิศวง เขาจะปกปิดสิ่งนี้ทำไม มันมีประโยชน์ใดหรือ

เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการดูแลสุขภาพ การกินอาหาร และอื่นๆ

แต่เขาไม่ยอมบอกอายุตัวเอง

ฉันไม่รู้ว่า วันนี้เราหาข้อมูลได้แล้วกระมัง หรือเกิดอะไรขึ้น

แต่วันนั้น ฉันหาเท่าไรก็ไม่เจอ

 

๑๓

ฉันคิดว่า เขามีหน้าตา ดูเด็กกว่าวัย

มองดูสดชื่น

แต่ทว่า ที่จริงเขาอายุเท่าไรกันแน่ ฉันไม่รู้

ได้แต่คาดเดา แต่ทำไมต้องให้ฉันคาดเดาด้วย

ในเมื่อคุณลงประวัติตัวเองไว้ตั้งมากมาย จนรู้ว่าเรียนจบอะไร มีผลงานด้านการวิจัยอะไร มีคดีความอะไร เรียกได้ว่า มีประวัติยาวหลายหน้ากระดาษ แต่แค่ว่า เกิดปีไหน ก็ไม่ยอมบอก นี้คือความน่าพิศวง

 

๑๔

หรือว่า เขาไม่อยากเป็นคน

อยากเป็นเทพหรือ

 

๑๕

ฉันเชื่อว่า มนุษย์ทุกคน เป็นคนธรรมดาก่อน

ดังนั้น พระพุทธเจ้า พระเยซู ขงจื้อ เหลาจื้อ หรืออริสโตเติล เพลโต หรือผู้มีชื่อเสียงท่านใดในโลก ล้วนเป็นคนธรรมดาก่อน ดังนั้น อัตชีวประวัติของพวกเขา หากมี จะน่าอ่าน สนุกกว่า หนังสือเรียนที่เฝ้าแต่สรรเสริญ เยินยอ ยกคนเหล่านั้นเป็นเทพ เพราะในชีวิตจริง ฉันไม่เคยเห็นเทพเลย มีเพียงในคอนเซ็ปต์ของคนล้าหลัง

คนที่เชื่อในเทพ เป็นคนละกลุ่มกับฉัน เราคงต้องแยกทางกัน

เพราะหากคุณเชื่อในเทพ

ก็จะเชื่อ ว่าอุจจาระของพระพุทธเจ้า หอมยิ่งนัก

 

๑๖

ฉันไม่ได้ด้อยค่าคนเหล่านั้น พวกเขามีผลงาน มีความลึกล้ำทางจิต ยอมรับ

แต่ชีวิตของมนุษย์ ล้วนเกิดมาต้องเป็นคนธรรมดา ต้องเวียนว่ายในกฎของสังขาร ซึ่งมันรวมไปถึงจิตด้วย เพราะจิตเป็นสังขาร เขาอาจมีจิตพิเศษ จิตที่มีคุณภาพดีเยี่ยม แต่ดีแค่ไหน ก็ต้องอยู่ในความธรรมดาอยู่ดี ต่อให้เป็นยอดนักปราชญ์ ยอดกวี ยอดนักวิทยาศาสตร์ ก็เฉกเช่นกัน

การตัดข้อมูล ปกปิดข้อมูล มีผลร้ายยิ่งนัก

เพราะมันสร้างภาพลวงตา มันลวงโลก

 

๑๗

คนที่ชอบคอนเซ็ปต์นี้

แท้จริง คือคนที่คิดว่าตัวเองพิเศษ เป็นเทพ

หรือลูกหลานของเทพ

เตรียมตัวจะไปขึ้นสวรรค์ พวกเขาไม่ยอมรับว่าเป็นคนธรรมดาเหมือนคนอื่นๆ รอบตัว เขาแยกตัวออกไปต่างหาก ในอีกภพภูมิหนึ่ง