ฟ้า พูลวรลักษณ์ : สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดคือระบบเผด็จการ ที่ปกครองโดยคนที่เป็นอมตะ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๒๐๐)

สมมุติมีใครคนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นคนดี เป็นอมตะ แล้วเป็นประมุขของโลก จะด้วยสมองของเขาถูกเก็บรักษาไว้ในกล่อง หรืออะไรก็ช่าง แล้วยังมีชีวิตอยู่ สามารถปกครองโลกมนุษย์นี้ได้ ฉันว่านี่เป็นข่าวร้ายอย่างที่สุด

คนดีคนนั้นต่อให้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระเยซู หรือมหาตมะคานธี หรือคนดีจริงคนไหนก็ตาม นี่ก็เป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น แสดงว่า ไม่มีสิ่งใดชั่วร้ายยิ่งกว่าความเป็นอมตะ ไม่มีอะไรชั่วร้ายกว่าความเป็นเผด็จการ

วันใดที่ผู้ปกครองมีเพียงคนเดียว หรือไม่กี่คน และปกครองยาวนานไร้ที่สิ้นสุด นั่นคืออวสาน มันคือความชั่วร้ายที่สุด

มองผิวเผิน เราอาจมองไม่เห็น บางคนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องดี

เรื่องแบบนี้ไม่มีวันเกิดกับพระพุทธเจ้าได้ เพราะมันขัดกับคำสอนของท่านโดยสิ้นเชิง เพราะแก่นของศาสนาพุทธคือความไม่เที่ยงแท้ ความเป็นอมตะหากเกิดขึ้น คำสอนของท่านทั้งหมดก็เป็นของปลอม ความชั่วร้ายนานาก็ปรากฏ

ไม่ว่าคนดีคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม หากเขาเป็นอมตะ เขาก็ไม่ใช่คนดี

น่าประหลาด สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด กลับเป็นความเป็นอมตะ

สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก กลับเป็นระบบเผด็จการ ที่ปกครองโดยคนที่เป็นอมตะ ที่ผ่านมา เรามีเผด็จการมากมาย แต่ล้วนเป็นคนที่ไม่เที่ยงแท้ สักพักหนึ่ง พวกเขาก็ตายไป

มีนิยายเรื่องหนึ่ง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลก ยาวนานหลายร้อยปี แต่มีตัวละครเพียงไม่กี่คน เพียงเท่านั้น และยังเป็นบุคคลที่กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ได้ ฉันก็ปิดหนังสือเล่มนี้ลง เพราะทนอ่านต่อไปไม่ได้ ทุกๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นความชั่วร้าย ไม่จริง โลกมนุษย์เรานี้มีประชากรนับหมื่นล้าน แต่ละคนมีความหมาย มีเรื่องราว โลกมนุษย์ไม่สามารถถูกกำหนดโดยคนเพียงไม่กี่คน และกินเวลายาวนานหลายร้อยปีได้ มันเป็นความคิดที่หยาบคายอย่างที่สุด ตื้นเขินที่สุด

โลกมนุษย์ถูกกำหนดโดยคนมากมายมหาศาล และหากมีคนสำคัญบางคน มีบทบาทมาก มีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของโลก ก็เป็นห้วงเวลาสั้นๆ เท่าอายุของหยดน้ำค้าง

นานกว่านี้ ไม่มี

เรามองเห็นกาลเวลาในอนาคตได้ไหม

คำตอบคือ เรามองเห็นได้ หากเรารู้จักมอง

เช่น หากเรามองเด็กคนหนึ่ง เราจะเห็นกาลเวลาหนึ่งร้อยปีในอนาคต

เพราะโลกเราทุกวันนี้ การแพทย์เจริญจนอายุคนรุ่นต่อไป สามารถอยู่ได้ถึงหนึ่งร้อยปี และแก่นสาระของเด็ก พวกเขาคืออนาคตหนึ่งร้อยปีนั้น นี้คือสาระ ตัวตนของพวกเขา สิ่งอื่นเป็นเพียงเปลือก

พวกเขาอาจโง่งม ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่พวกเขามี คือกาลเวลา

เด็กคือกาลเวลา

อะไรคือการทำประชามติ

ข้อใดถูก หากต้องเลือกหนึ่งข้อ

๑ ตัวคุณชอบอะไร อยากได้อะไร ควรได้อะไร

๒ คนรุ่นหลังชอบอะไร อยากได้อะไร ควรได้อะไร

สองข้อนี้ไม่เหมือนกัน และคำตอบมีเพียงหนึ่ง

คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าคำตอบคือข้อแรก เขาคิดว่า การทำประชามติเหมือนแบบฟอร์มให้ตอบคำถาม ว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการอะไร

ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่การถามว่าคุณมีรสนิยมอะไร ชอบสีอะไร แต่มันคือการทดสอบ ว่าคุณมองเด็กอย่างไร คุณมองพวกเขาเป็นเพียงสิ่งฉาบฉวย ไร้สาระ เป็นผลผลิตของคุณ เป็นหนี้บุญคุณตัวคุณ หรือเด็กๆ คือกาลเวลาในอนาคตหนึ่งร้อยปี

คนส่วนมากเข้าใจผิด พวกเขาคิดแต่เพียงว่า เมื่อให้ทำประชามติ ก็เหมือนถามตัวเอง ว่าชอบอะไร อยากได้อะไร

ที่จริงแล้ว คำตอบเรียบง่าย มันคือการหาโครงสร้างที่ดีที่สุด สำหรับคนรุ่นหลัง

การเลือกตั้ง ต่างออกไปหน่อย ตรงที่ว่า การเลือกตั้ง เป็นการเลือกรัฐบาลที่มีอายุบริหารสี่ปี มันมีเวลาค่อนข้างสั้น มันทำให้เราคิดถึงเหตุการณ์เฉพาะหน้า ต่างกับการทำประชามติ ที่เป็นเรื่องของการกำหนดโครงสร้าง

สิ่งที่น่ากลัว คือสิ่งที่ไม่คุ้นเคย

สิ่งที่ไม่น่ากลัว คือสิ่งที่คุ้นเคย

ยกตัวอย่างเช่น ดวงจันทร์

หากโลกมนุษย์เรานี้ไม่มีดวงจันทร์ แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งก็มีดวงจันทร์โผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้า มนุษย์จะตื่นตกใจ หวาดกลัวยิ่งนัก เพราะอะไรจะน่ากลัวเท่าเทหวัตถุขนาดใหญ่ขนาดนี้ ที่ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าได้ เรียกว่าน่ากลัวเป็นบ้า

แต่เพราะเราเห็นมันมานานแสนนาน เราจึงไม่รู้สึกว่าดวงจันทร์น่ากลัวอะไรเลย

ฉันกลัวผี เพราะไม่คุ้นเคย ไม่เคยเห็น หากอยู่ๆ ฉันเจอผีจังๆ ฉันคงขนลุก

ฉันคงหวาดกลัว ทั้งๆ ที่มันยังไม่ทันทำอะไรเลย

แต่หากผีเป็นสิ่งคุ้นเคย เหมือนคอมพิวเตอร์ เหมือนมือถือ

ทันใดนั้น เราก็จะเห็นว่าผีเป็นเพียงอีกสิ่งหนึ่งที่ต่างมิติกับเรา สามารถสื่อสารกันได้ เหมือนที่เราใช้คอมพิวเตอร์ คุยกันทางมือถือ

ทันใดนั้นผีก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย

แต่สิ่งที่น่ากลัวโดยตัวมันเองนั้นมีอยู่ สิ่งที่ชั่วร้ายจริง มีอยู่

เพียงแต่เราต้องแยกแยะมันออกจากความคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยก่อน

จนเหลือแต่เพียงตัวมันแท้ๆ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่สิ่ง

ถึงตอนนั้น เราอาจจะหวาดกลัวจนทนไม่ไหว ต้องฆ่าตัวตายไปก่อน กรีดร้องโหยหวน หรือเสียสติ เพราะมันน่ากลัวจริงๆ และแสนจะคุ้นเคย