คณะทหารหนุ่ม (59) | เหตุกาณณ์ที่บ้านพักสี่เสา ก่อนก่อรปห. 2524

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

31 มีนาคม พ.ศ.2524 : กรุงเทพมหานคร
พ.ท.รณชัย ศรีสุวรนันท์

พ.ท.รณชัย ศรีสุวรนันท์ ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 17 ซึ่งมีที่ตั้งชั่วคราวระหว่างจัดตั้งหน่วยอยู่ที่กองพลทหารม้าที่ 2 สนามเป้า บันทึกไว้ใน “พ.อ.มนูญ รูปขจร บนเส้นทางปฏิวัติ” ดังนี้

“ผมไม่ทราบถึงความขัดแย้งในระดับสูงว่าลุกลามไปถึงจุดไหนต่อจุดไหนกันบ้าง หมากกลจะวางกันกี่สิบชั้น สถานการณ์จะพลิกไปพลิกกันมากี่ตลบ แต่ฐานะของผม ผู้บังคับหน่วยรถถังที่ถืออาวุธหนักรถถังในมือ ภารกิจที่ผมได้รับมอบก็คือเข้ายึดและรักษากองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า ในคืนวันที่ 31 มีนาคม ต่อกับวันที่ 1 เมษายน 2524 นั้นให้ได้ ซึ่งเป็นคำสั่งสุดท้ายของสายการบังคับบัญชาที่ยังไม่ขาดหายไป”

“รถถัง 7 คันพร้อมอาวุธกระสุนเต็มอัตราศึกภายใต้การบังคับบัญชาของผมได้ติดเครื่องสั่นสะท้านไปทั่วบริเวณสนามเป้า”

“สายพานของรถถังบดขยี้พื้นถนนเป็นรอยรุนแรงตามคุณลักษณะของเรา รุกเข้าสู่ที่หมาย”

“พร้อมกับไม่มีอดีต มีแต่ปัจจุบันและอนาคต”

 

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 19 บันทึกไว้ใน “ผมผิดหรือที่ยึดกรือเซะ” ว่า

“ในปี 2524 ปรากฏว่าคำสั่งที่ออกมานั้นผมต้องมาเป็นผู้การ ร.19 พล.9 ผมก็ไปถามเหตุผลท่าน (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) ท่านบอกว่ามีปัญหาชายแดนที่เขมร เพราะฉะนั้น ลูกต้องมาทำงานด้านนี้”

“พอคำสั่งออก ผมย้ายมาวันที่ 8 ธันวาคม ปี พ.ศ.2523 และวันที่ 12 ธันวาคม ยังไม่ทันได้แกะของออกจากลังผมต้องเอากำลังจาก พล.9 ขึ้นไปที่อรัญประเทศ เพราะเขาเร่งมาก ผู้พันคนใหม่ก็ยังไม่ไปรับงาน เพราะทางนี้เร่งให้ผมไปก่อน สถานการณ์ทางนี้แรงมากเกี่ยวกับเวียดนาม ผมมาถึงแค่ 4 วันขึ้นชายแดนทันที ขึ้นไปอยู่ที่อรัญประเทศ ตอนนั้นกองกำลังของผมเป็นกองกำลังที่สมบูรณ์ที่สุดในกองทัพคือ 4 กองพัน – 3 กองพันทหารราบ 1 กองพันปืนใหญ่ เต็มเหยียด อาวุธทันสมัยที่สุด ผมขึ้นมาอยู่อรัญฯ ในวันที่ 12 ธันวาคม”

“ประมาณต้นเดือนมกราคมมีปัญหาเรื่องน้ำมันขึ้นราคา”

“ผมขึ้นไปอยู่ในกองหนุน ไม่ได้อยู่ในแนวหน้า ในแนวหน้า ราบ 11 รอ. กรมของ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี คุมทางด้านตาพระยา ส่วนกรม 31 ของชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล รุ่นเดียวกับผมอยู่ด้านวังน้ำเย็น ผมเป็นกองหนุนขึ้นกับกองทัพภาคที่ 1”

“ผมจำได้ว่า มนูญ รูปขจร ไปหาผมที่อรัญฯ บอกว่า ตอนนี้สถานการณ์ทางการเมืองไม่ดี ป๋าเป็นนายกฯ และเป็นผู้บัญชาการทหารบก ป๋าให้มาบอกว่า อาจจำเป็นต้องใช้กำลัง ผมบอกไปเรียนป๋าเถอะ สั่งมาเลยเมื่อไหร่ผมก็พร้อม เขาก็กลับไป ผมก็อยู่ชายแดน…”

 

“พอปลายเดือนกุมภาพันธ์ สถานการณ์ (ชายแดน/บัญชร) มันรุนแรงขึ้น ทางเราต้องการโชว์ออฟฟอร์ซ ที่จันทบุรีตอนนั้น พล.ท.วศิน อิศรางกูร เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ผมก็เอารถถังกับทหารราบเกือบทั้งหมดขึ้นไปสวนสนามชายแดนเขมรเวียดนาม สวนสนามร่วมกับนาวิกโยธินที่จันทบุรี ร่วมขบวนยานยนต์รถถังเป็นครั้งแรก โชว์ออฟฟอร์ซ แม่ทัพวศินท่านก็ไปเป็นประธาน กลางคืนจัดงานก็เลี้ยงกันที่วังจันทบุรี ท่านแม่ทัพถามผมลื้อพร้อมนะ ผมก็ตอบว่าผมพร้อม”

“ปลายเดือนมกราคม แม่ทัพวศินเรียกผมมาพบที่บ้านวังเดิม สวนอนันต์ ในวันนั้นก็มีหลายคน พวกผม 4-5 คนนั่งกินข้าวคุยกันถึงเรื่องจำเป็นต้องใช้กำลัง ท่านบอกว่า วัน.ว. เวลา น.ลื้อต้องฟังอั๊วนะ ท่านพูดอย่างนี้ แล้วผมก็กลับไปอรัญฯ

“พอถึงวันที่ 31 มีนาคม ท่านแม่ทัพวศินเรียกผมมาประชุมที่กองทัพ ประชุมเสร็จตอนเที่ยง มนูญโทร.มาบอกให้ผมไปกินข้าวที่วิเศษไก่ย่างที่บางโพ ผมก็ออกไปกินข้าวกับมนูญ กินกัน 5-6 คนรุ่นเดียวกันทั้งนั้น กินกันถึง 14.00 น. ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน ผมก็กลับมาประชุมกับแม่ทัพภาคที่ 1 ต่อจนเสร็จ”

“พอเกือบจะ 17.00 น. เป็นเพราะความซวยของผมก็ว่าได้ ผมจะกลับอรัญฯ ต้องผ่านสุทธิสาร บางกะปิขึ้นฉะเชิงเทราเข้าอรัญประเทศ พอผ่านสุทธิสาร ผมเห็นมะม่วงสุกตาอาร์ม ลูกชายชอบกินมะม่วงสุก ผมสั่งให้พลขับหยุดรถลงไปซื้อมะม่วงสุกให้ลูกชาย 2 กิโลกรัม เพราะเป็นทางผ่านบ้านผมก็แวะไปที่บ้านแต่ไม่ได้ลงจากรถ ผมสั่งคนขับให้เอามะม่วงไปให้ ตอนนั้นอยู่บ้านจัดสรร ไม่ใช่หลังที่อยู่ในปัจจุบัน รถผมก็ออกไปอีก 20 เมตรและกำลังจะออกปากซอย ทหารวิ่งตามมาทันบอกว่า ผู้การมนูญให้โทรศัพท์ไปหา ผมก็ย้อนกลับไปที่บ้าน โทร.ถาม”

“จะปฏิวัติคืนนี้ ทุกคนรู้กันหมดแล้วเว้นมึง และจะยึดตอน 01.00 น.”

 

ผมขับรถบึ่งมาที่ ม.1 รอ. ซึ่งขึ้นอยู่กับ พ.อ.ชูพงศ์ มัทวพันธุ์ เขาเป็นผู้การ เป็นทหารฝ่าย เสธ.ประจำป๋าเปรม ผมมาหาเขา ‘เฮ้ยอะไรกันวะ’ ชูพงศ์บอก ‘ป๋าสั่งทำ’ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เขาเอาโผใส่มือผม ผมกระโดดขึ้นรถกลับอรัญฯ ไปนำกำลังลงมา ผมก็ดูในโผ สั่งให้ยึดกรมประชาสัมพันธ์ ยึดสวนรื่นฯ ยึดธนาคารชาติ ยึดทีวีช่อง 7 ทีวีช่อง 5 กำลังที่เหลือวางจากพระรูปถึงสนามหลวง ภารกิจที่ผมได้รับมีแค่นี้ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะป๋าเป็นคนสั่ง”

“ผมไปถึงผมก็วิทยุเข้าไปก่อนไปถึงรองผู้การ พ.อ.สัจจา บุนนาค ผมบอกสัจจาเตรียมกำลังไว้ 3 กองพัน ผมจะเอาเข้ามาทำงานคืนนี้ พอไปถึงเขาก็พร้อม ผมก็เคลื่อนกำลังเข้ามาถึงเกียกกายเกือบ 02.00 น. เพราะขบวนมันยาวผ่านลาดพร้าวเข้ามาเรื่อยๆ รถราวิ่งปกติไม่มีสัญญาณบ่งบอกอะไร พอมาถึง ปืน 1 ผมชะลอดูบอก เฮ้ย หยุด…หยุด…”

“ตอนนั้น พ.อ.นานศักดิ์ ข่มไพรี เป็นผู้การ พ.ท.สุรพล ชินะจิตร เป็นผู้พันอยู่ในกลุ่มยังเติร์กเช่นเดียวกับผม ผมก็หันไปดู โอ้โฮ ทหารของเขานั่งเต็มสนามไปหมด ผมก็สั่งขบวนผมหยุด ผมเลี้ยวรถแว้บเข้าไปก็เจอพี่นานศักดิ์กับสุรพล ผมก็ถาม”

“พี่นานศักดิ์บอกว่า ‘เฮ้ย…เขาไม่เล่นกันแล้ว'”

“ผมฉิบหายเลย ใจวูบ หัวใจวิ่งไปอยู่ปลายเท้า”

“ผมก็โทร.ไปหาแม่ทัพวศิน บอก ‘แม่ทัพครับ ผมเอากำลังเข้ามาแล้ว’ แม่ทัพถาม ‘ลื้ออยู่ไหน’ ผมบอกว่าอยู่ที่ ‘ปืน 1′”

“ท่านบอก ‘เออ…ลื้ออยู่ตรงนั้นแหละ ลื้อถอนกำลังกลับไปได้ไหม'”

“ผมบอก ถอนได้ยังไงผมเข้ามาถึงนี่แล้ว ท่านบอกลื้ออยู่ตรงนั้นแหละ”…

 

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ประมาณ 19.00 น. ที่บ้านพักสี่เสา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รับประทานอาหารเย็นตามปกติ พล.ต.บุญสืบ คชรัตน์ นายทหารเสริมกำลังพิเศษ หรือ “ทหารเสือราชินี” เล่าไว้ใน “รัฐบุรุษชื่อเปรม” ว่า…

“”ผมได้ยินพี่ไพโรจน์ (พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย) แจ้งให้ป๋าทราบว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติในหน่วยทหาร ป๋าก็ดุพี่ไพโรจน์ว่าไปเอาข้อมูลที่ไหนมา พี่ไพโรจน์ก็เช็กข่าวทุกด้าน ในที่สุดก็มารายงานป๋าว่าเขาจะปฏิวัติกันแน่”

“เมื่อป๋ารับประทานข้าวเสร็จแล้วก็ขึ้นไปข้างบน ผมออกจากบ้านสี่เสาเพื่อกลับเข้าไปในวัง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยจะดี จึงไปบอกยิ่งยศ (นายทหารเสริมกำลังพิเศษอีกคนหนึ่ง) ขณะเดียวกันก็โทรศัพท์ไปหาผู้บังคับบัญชาด้วย เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ก็ได้รับคำสั่งให้กลับไปที่บ้านสี่เสาโดยเร็ว พอกลับมาที่บ้านสี่เสาอีกครั้ง ทหารก็อยู่กันเต็มหมดแล้ว”

พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เล่าว่า…

“คืนนั้นตอนสัก 19.00 น. ผมอยู่ที่บ้านผมในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ไพโรจน์โทร.ไปหาพูดสั้นๆ ว่า ‘พี่หมงรีบกลับมาบ้านสี่เสาเดียวนี้ ก่อนออกมาพี่ดูแถวๆ บ้านพี่ด้วยว่าเขาจะเอาอะไรกัน’ บ้านผมอยู่ติดกับบ้านพี่ปรีดี (พ.อ.ปรีดี รามสูตร ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กที่ 1 รักษาพระองค์ จปร.7) หน้าบ้านพี่ปรีดีมีรถเต็มไปหมด หน่วยทหารก็มีการเคลื่อนไหวกันคึกคัก ผมรีบออกจากบ้านไป”

 

ประมาณ 20.00 น. พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เล่าต่อไปว่า…

“ผมเข้าไปที่บ้านสี่เสาโดยไม่เห็นมีใครมาห้าม เห็นรถปิกอัพจอดอยู่หน้าบ้าน มีทหารเต็มหมดไม่รู้ของใครบ้าง ผมเข้าไปในบ้านเห็นพี่จักษ์ (พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร จปร.7) พี่วีระยุทธ (พ.อ.วีระยุทธ อินวะษา จปร.7) พี่มนูญ (พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร จปร.7) เดินตามป๋าอยู่ที่รอบๆ สนามหญ้าหน้าบ้านสี่เสา”

พล.ต.บุญสืบ คชรัตน์ เล่าต่อไปว่า ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น…

“ผมเดินเข้าไปในบ้านสี่เสา ป๋าก็ถามกับพี่หมงว่า ผมกับยิ่งยศ (ร.ท.ยิ่งยศ ศรีเจริญ นายทหารเสริมกำลังพิเศษอีกคนหนึ่ง) เป็นใคร พี่หมงก็บอกชื่อเราสองคนไป ท่านก็บอกให้ไล่เราสองคนกลับไปในวังแล้วก็สั่งอีกว่าไม่ต้องพูดกับใครว่าที่บ้านสี่เสามีอะไร เรื่องจะรู้ไปถึงข้างบนได้ เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ข่าวทั้งสิ้น”

เมื่อมีโอกาส ร.ท.บุญสืบ คชรัตน์ จึงถาม พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ว่าจะทำอย่างไรดี ได้รับคำตอบว่า เมื่อมีภารกิจต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“ไม่ต้องเกรงอะไรทั้งสิ้น หากมีเรื่องขึ้นมาน้องเอาป๋าออกไปให้ได้ ดูแลป๋าอย่างดีก็แล้วกัน”