ก้าวไกล ก้าวแห่งขวากหนาม ก้าวต่อไปของก้าวไกล บนเส้นทางฝ่ายค้าน

23 กันยายน 2566 ที่อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค ที่ลาออก และคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดใหม่ของพรรค

ที่ประชุมวิสามัญพรรค ก.ก. มีมติเห็นชอบให้ นายชัยธวัช ตุลาธน เป็นหัวหน้าพรรค ก.ก.

นายอภิชาติ ศิริสุนทร เลขาธิการพรรค น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค นายณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค

นายสมชาย ฝั่งชลจิตร กรรมการบริหาร สัดส่วนภาคใต้ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหาร สัดส่วนภาคตะวันออก นายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ กรรมการบริหาร สัดส่วนภาคเหนือ และนายสุเทพ อู่อ้น กรรมการบริหาร สัดส่วนปีกแรงงาน

กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ มีมติแต่งตั้งตำแหน่ง ดังนี้

รองหัวหน้าพรรค ประกอบด้วย นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์, นายณัฐวุฒิ บัวประทุม, พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ และ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล

รองเลขาธิการพรรค ประกอบด้วย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ และนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ

ส่วนกองโฆษกพรรค แต่งตั้ง นายพริษฐ์ วัชรสินธุ เป็นโฆษกพรรค น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ และนายกรุณพล เทียนสุวรรณ เป็นรองโฆษกพรรค

และแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก. มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นประธาน ส่วนที่ปรึกษาอีก 2 คน ประกอบด้วย นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล และนายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center)

 

นายชัยธวัชกล่าวว่า การปรับทัพครั้งนี้เป็นเพียงการปรับทัพชั่วคราว เนื่องจากเหตุจำเป็นทางกฎหมายที่ทำให้พิธา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ก.ก. ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎรได้ ตนและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ยินดีที่จะลงจากตำแหน่งเมื่อพิธาสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ในสภาได้อีกครั้ง

“การขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงนโยบายนอกสภา จะนำโดยพิธา ประธานที่ปรึกษา และที่ปรึกษาอีก 2 ท่าน การปรับทัพชั่วคราวครั้งนี้ในสภา ผมจะรับภารกิจหลักในฐานะผู้นำฝ่ายค้านไประยะเวลาหนึ่ง นอกสภา คุณพิธาจะทำงาน”

นายชัยธวัชกล่าวว่า ในที่ประชุมพรรค ก.ก. มีการเสนอชื่อนายปกรณ์วุฒิเป็นประธานวิปฝ่ายค้าน ซึ่งคิดว่าคงจะได้รับการยอมรับจากพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกพรรค เพราะที่ผ่านมา นายปกรณ์วุฒิได้ทำหน้าที่หลักในการประสานงานกับฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านด้วยกันอยู่แล้ว

 

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566 ที่สนามกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง กทม. พรรค ก.ก.จัดกิจกรรม “ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ซึ่งเป็นงานเปิดตัวนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค ก.ก.คนใหม่ รวมถึงเชิญบุคคลที่เป็นเฉพาะสมาชิกพรรคทั่วประเทศมารับฟังยุทธศาสตร์ของพรรคหลังจากนี้ เพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน

นายชัยธวัชกล่าวว่า มีหลายคนที่บอกว่า มีการเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการ สู่ระบอบประชาธิปไตย ตนคิดว่า ก็คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเราเห็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เคารพเสียงของประชาชน และปัญหาการเมืองไทยประการที่ 2 คือ รัฐรวมศูนย์ เป็นระบบปิดกั้นการเมืองไทย เต็มไปด้วยการทุจริต ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน และเราเห็นทุนผูกขาดแล้ว รวมถึงปัญหาการเมืองเรื่องนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน ที่ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มีไว้เพื่อพิทักษ์รักษารับใช้คนบางกลุ่ม แต่ไม่ได้มีเป้าหมายพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของทุกคน

“ปัญหาเหล่านี้ของการเมืองไทยเราแก้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาการเมืองไทยเป็นการเมืองของชนชั้นนำ ที่อนุญาตให้มีการรัฐประหารได้ตลอดเวลา ถ้าเอารถถังมายึดอำนาจ ไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ถ้าโพสต์เฟซบุ๊ก แบบที่ผู้มีอำนาจไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน อาจจะต้องติดคุกเป็นสิบปี หรือไม่ก็อาจจะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต”

นายชัยธวัชกล่าวต่อว่า การเมืองไทยคือการเมืองที่อนุญาตให้ไปเลือกตั้งได้เป็นพักๆ แต่ไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แบบนี้ตนขอเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นไม้ประดับ และการเมืองของชนชั้นนำเป็นการเมืองที่อนุญาตให้แข่งขันกันได้ในระบบการเลือกตั้ง เป็นการแข่งขันกันไปมีอำนาจ และผลัดกันไปแบ่งสันปันส่วนในตำแหน่ง และเก้าอี้ แต่การเมืองชนชั้นนำไม่ได้แข่งขันไปเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยแบบเดิมๆ

เป้าหมายสำคัญของพรรค ก.ก. คือเราต้องผลักดัน ต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่การเมืองของชนชั้นนำบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นสิ่งที่สังคมไทยปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป ภายใต้เป้าหมายนี้ พรรคก้าวไกลจะมียุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้าน และ 1 ภารกิจพิเศษ

ยุทธศาสตร์ที่ 1 คือสร้างพรรค ก.ก. ให้เข้มแข็ง เป็นสถาบันทางการเมืองจริงๆ ขยายจำนวนสมาชิกพรรค และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือฝ่ายค้านในสภา ที่จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร

ยุทธศาสตร์ที่ 3 คือฝ่ายค้านเชิงรุก

ยุทธศาสตร์ที่ 4 คือตรึงพื้นที่เก่า รุกพื้นที่ใหม่ พื้นที่ไหนประชาชนให้ความไว้วางใจ ก็จะต้องเร่งทำงานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า เราทำงานไม่เหมือนใคร สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ส่วนพื้นที่ไหนที่ยังไม่ชนะการเลือกตั้ง ก็ขอเชิญชวนให้ทำพรรคให้เข้มแข็งขึ้น

ส่วนภารกิจพิเศษคือ ร่วมกันผลักดันให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชน จึงอยากให้ช่วยกันรณรงค์เรียกร้อง ทำประชามติว่าต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ต้องมาจากประชาชนทั้งหมด

 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก. กล่าวว่า พรรค ก.ก.จะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ด้วยกลยุทธ์ แข่ง ขยับ และขยาย

1. เราพร้อมจะแข่งทุกสนามเลือกตั้ง 4 ปี 4 สนามใหญ่ เกิด ก.ก.ทั่วประเทศแน่นอน ปีที่หนึ่ง อบจ. ปีที่สองเทศบาล ปีที่สาม ผู้ว่าฯ กทม. ปีที่สี่ เลือกตั้งใหญ่

2. แข่งเสร็จแล้วไม่พอ เราต้องขยับด้วย ตอนนี้เรามี ส.ส.เขต บัญชีรายชื่อ มีท้องถิ่น มีส้มจี๊ด มีมูลนิธิ เวลาเราขยับมันไม่ขยับคนเดียว ไม่ใช่แค่ประธาน ไม่ใช่แค่หัวหน้าขยับ เวลาขยับกันที ขยับกันเป็นองคาพยพ

3. สุดท้ายเราต้องขยาย ตนมีความมั่นใจเหลือเกินว่าพรรค ก.ก.จะขยายสมาชิกที่ตอนนี้มีอยู่ 80,000 กว่าคน เพิ่มขึ้นเดือนละ 10,000 คน เพื่อให้ได้เป็นพรรคที่มีสมาชิกมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

“พรรค ก.ก.จะเป็นฝ่ายค้านพี่อยู่ข้างประชาชน จะเป็นฝ่ายค้านที่จะสั่งสมชัยชนะไปเรื่อยๆ จนเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดของคนไทย”

 

แม้ก้าวต่อไปของก้าวไกลบนเส้นทางฝ่ายค้านจะดูมีทิศทางที่ชัดเจน แต่ก็ยังคงมีหลายเรื่องที่เป็นความสูญเสียของพรรค ก.ก. หรือยังรอการจัดการที่ชัดเจน

ทั้งกรณีศาลฎีกา ตัดสิทธิทางการเมือง ช่อ-พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป ฐานฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

ทั้งกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรค อนค. ประกาศยุติการวิพากษ์วิจารณ์พรรค ก.ก.

ทั้งกรณี นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้สถานะส่วนตัวในฐานะผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองในทางที่ไม่เหมาะสม ในการตอบโต้การสร้างข่าวเท็จ ทำให้นางอมรัตน์แสดงความรับผิดชอบ โดยให้พรรค ก.ก.ตัดสิทธิการถูกเสนอชื่อเข้าดํารงตําแหน่งบริหารใดๆ ในพรรค ก.ก.

ทั้งนายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรค ก.ก. โพสต์โซเชียลมีเดียในทำนองน้อยใจ

ทั้งกรณีของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ซึ่งล่าสุด (27 กันยายน 2566) พรรค ก.ก.มีมติว่าต้องการตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ที่จะผลักดันประเด็นต่างๆ และขับเคลื่อนสภา ทำให้ต้องมีการหารือกับนายปดิพัทธ์ เรื่องตำแหน่งรองประธานสภาว่าจะตัดสินใจอย่างไร

ในกรณี กก.บห. พรรค ก.ก. มีมติขับนายปดิพัทธ์ออกจากพรรค ก.ก. พรรคเป็นธรรม (ปธ.) โดยนายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ปธ. ยังยืนยันว่า พรรค ปธ.ยินดีรับนายปดิพัทธ์เข้าไปร่วมงานด้วย

แม้ก้าวต่อไปของก้าวไกล บนเส้นทางฝ่ายค้านจะดูมีทิศทางที่ชัดเจน แต่ก็ชัดเจนเช่นกันว่าเส้นทางที่ก้าวไกลต้องเดินนั้นไม่ง่าย

เต็มไปด้วยขวากหนาม