ดวงดาวของคนขาเป๋ | เรื่องสั้น : ธารา ศรีอนุรักษ์

เรื่องสั้น | ธารา ศรีอนุรักษ์

ดวงดาวของคนขาเป๋

 

ในยุคหนังสือสื่อสิ่งพิมพ์กระดาษทุกประเภทดิ่งลงอย่างไร้ที่สิ้นสุดแบบนี้ ผมกลับเลือกเรียนด้านวารสารศาสตร์ ถลำลึกเลยตามเลยถึงปีสี่ต้องฝึกงานหนึ่งเทอมเพื่อให้จบหลักสูตร เพื่อนหลายคนเลือกไปฝึกงานตามหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่ยังดำเนินการอยู่แต่เปลี่ยนรูปแบบเสนอข่าวออนไลน์มากขึ้น ส่วนผมเลือกมาฝึกงานกับบริษัทออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์แห่งนี้ เจ้าของบริษัทเป็นคนเดือนตุลา บริษัทมีพนักงานอยู่ร่วมสิบชีวิต แบ่งแยกไปตามสายงาน ผมในฐานะนักศึกษาฝึกงานถูกส่งให้มาอยู่ฝ่ายงานจัด Artwort ด้วยโปรแกรม Adobe InDesign รับผิดชอบทำจุลสารเล็กๆ ตีพิมพ์ข้อคิดข้อเขียนของกลุ่มคนแนวความคิดเดียวกัน โดยมีเจ้าของบริษัทแห่งนี้เป็นประธานกลุ่ม มีชื่อกลุ่มว่า ‘คนป่าเขา’

การได้อ่านบทความ แนวคิดทางสังคมการเมือง ในจุลสารที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้รู้ว่าสมาชิกทั้งหมดล้วนเป็นคนเดือนตุลา โดยจุลสารมีกำหนดออกรายเดือน ขนาด A4 พิมพ์สีเดียว เข้าเล่มแบบเย็บกลางหรือมุงหลังคา เมื่อพิมพ์เสร็จ ผมยังมีหน้าที่นำจุลสารใส่ซองแล้วแปะรายชื่อที่อยู่สมาชิกสำหรับจัดส่ง

นอกจากการออกจุลสารรายเดือนแล้ว ทางสมาชิกกลุ่มคนป่าเขา ยังได้นัดพบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความคิดทางการเมืองกันตลอด โดยวันเวลานัดหมายพบปะจะระบุในจุลสาร ส่วนมากแหล่งนัดพบเป็นอาคารสโมสรศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ ค่าเช่าถูก ที่จอดรถสะดวกสบาย ผมเลยพลอยมีอีกหน้าที่คอยเอื้ออำนวยความสะดวกให้ทุกคนที่มาพบปะสังสรรค์ ในฐานะผู้คุ้นเคยสถานที่…และที่นี่เองทำให้ผมได้รู้จักกับสหายช่วง ชายขาพิการอายุเจ็ดสิบกว่า แต่ยังดูทะมัดทะแมง เหมือนเจ้าตัวไม่ยอมให้ใครเกิดความรู้สึกสงสารเพียงเพราะตัวเองขาเป๋

การได้รู้จักสหายช่วง ทำให้ผมแจ่มชัดภาพตัวเองตอนมีงานรวมศิษย์เก่าโรงเรียนมัธยมที่ต่างจังหวัด ครั้งนั้นผมหอบความคิดถึงเพื่อน คิดถึงครู คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยยังนุ่งกางเกงขาสั้นถือกระเป๋านักเรียนจาคอป รีดจนบางเฉียบ คิดเอาเองว่าเท่สุดๆ กะว่าได้พบปะเพื่อนฝูงครูบาอาจารย์ให้หายคิดถึง แต่แล้ว เมื่อเจอจริงๆ กำแพงเรื่องชื่อเสียงมหาวิทยาลัยเริ่มก่อขึ้นกีดขวางกันและกัน พวกเรียนมหาวิทยาลัยดังๆ จับกลุ่มแลกเปลี่ยนทัศนะวาดชีวิตอนาคต เหมือนมีภาษาอีกรูปแบบหนึ่ง ค่อยๆ ดันเด็กมหาวิทยาลัยชั้นสองอย่างผมออกจากวงสนทนา ว่าจะไม่น้อยใจแต่อดไม่ได้ ขนาดคนระดับชนชั้นปกครองยศนายพลยังเคยพูดเหยียดหยามถามนักข่าวจบมาจากมหาวิทยาลัยนี้ใช่ไหม ด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม หันไปทางครูบาอาจารย์ก็คิดแต่จะบังคับขายเหรียญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงเรียน ระดมทุนสร้างอาคาร เหรียญหนึ่งไม่ใช่ถูกๆ สองพันอัพ โดยไม่สนใจสักนิดว่าลูกศิษย์ตัวเองตอนนี้มีสภาพเช่นไร

งานรวมศิษย์เก่าจึงเป็นแค่ฉากบังหน้า จุดหมายจริงๆ คือ หาเงิน

 

สหายช่วง อาจมีจิตใจสูงส่งเป็นเกราะคุ้มกันความคิดน้อยเนื้อต่ำใจ หัวจิตหัวใจสายเลือดคนเดือนตุลา เข้มข้นไหลเวียนอยู่ในร่าง จึงไม่สนใจเรื่องสถานภาพความเป็นอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับสหายคนอื่นๆ ทุกคนหน้าใส แต่งตัวดี มีหน้าที่การงานครอบครัวมั่นคง แต่สหายช่วงตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก ขาข้างหนึ่งพิการผิดรูป เดินขาเป๋หอบกระดาษถ่ายเอกสารข้อเขียนลายมือโย้เย้ตัวเอง แจกให้สมาชิกในห้องประชุม ทุกคนรับไว้อย่างเสียไม่ได้ ไม่มีใครคิดจะตั้งใจอ่าน ผมผู้รับผิดชอบทำจุลสาร เคยเห็นข้อเขียนถ่ายเอกสารลายมือส่งมาให้รวมพิมพ์ แต่เจ้าของบริษัทในฐานะบรรณาธิการเล่มไม่เคยสนใจพิมพ์ให้ จะอ้างตัวหนังสือเป็นถ่ายเอกสารไม่ใช่ไฟล์ word ลำบากในการเอาไปเรียงจัดหน้าด้วยโปรแกรม ต้องเสียเวลาพิมพ์ใหม่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสามารถสแกนเป็นไฟล์ภาพลายมือลงได้เลย… ข้อเขียนคนอื่นๆ ส่งมาทางอีเมลง่ายต่อการนำไปจัดหน้าในโปรแกรม และนี่คือสะเก็ดความสงสารเล็กๆ ก่อเกิดในใจผมที่มีต่อสหายช่วง

โดยวัยวุฒิ ผมควรเรียกลุงมากกว่า แต่เจ้าตัวยืนยันให้ผมเรียกสหาย เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นหลังจากงานสังสรรค์ครั้งก่อนตอนช่วยกันเก็บกวาดสถานที่จัดงานสังสรรค์ช่วงงานเลิก แต่เอาเข้าจริงๆ ผมกระดากปากเกินกว่าจะเรียกใครว่าสหาย แถมยังไม่รู้ซึ้งถึงคุณค่าความหมายคำนี้ด้วยซ้ำ แค่เคยได้ยินมาบ้างว่าคนเคยเข้าป่า จะเรียกกันแบบนี้

“เอ่อ…แล้วบ้านอยู่ไหนหรือครับนี่ กลับยังไง”

“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกสหาย ค่ำไหนนอนได้ทั้งนั้นแหละ ชีวิตคนเราเอาอะไรมาก มีลมหายใจ ใช้ท้องฟ้าเป็นมุ้ง แผ่นดินเป็นบ้าน…”

“แล้วมีครอบครัวไหมครับ…”

ผมพยายามเลี่ยงคำว่าสหาย ถามข้อมูลพื้นฐานชีวิต อย่างน้อยๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นทำความรู้จักระหว่างกันและกัน

“บ้านน่ะมี อยู่เมืองกาญจน์ แต่คนอยู่ด้วยไม่มี อยู่คนเดียว เคยมีคนรักเหมือนกันตอนอยู่ป่าเขา นานมาแล้ว…”

ในคำตอบ ตอนพูดถึงคนรักผมรู้สึกถึงเนื้อเสียงแผ่วลงจนเกือบกลืนหายไปในลำคอ

“ให้ผมเก็บกวาดคนเดียวก็ได้ครับ งานแค่นี้ผมทำเองสบายมากเลยครับ…เอ่อ…สหายไม่ต้องช่วยก็ได้นะครับ”

ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ที่ต้องเรียกคนรุ่นอาวุโสว่าสหาย แต่ก็ต้องเรียก

“ไม่เป็นไร ผมยินดีและเต็มใจ งานใหญ่งานน้อยหากเราร่วมมือกัน ความสำเร็จจะเดินทางมาถึงพวกเราเร็วขึ้น…ทุกคนต้องช่วยกัน สังคมจึงจะบริบูรณ์”

 

การสนทนาในช่วงเวลาสั้นๆ หลังงานสังสรรค์คราวนั้นทำให้ผมมีความรู้สึกดีกับสหายช่วงเป็นพิเศษ พอถึงรอบออกจุลสารและมีข้อเขียนลายมือถ่ายเอกสารส่งมา ซึ่งสหายช่วงขยันส่งมาตลอดแม้ว่าไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ก็ตาม ผมใช้เทคนิคจัดหน้าทำเนื้อที่ให้ว่างหนึ่งหน้าแบบเนียนๆ เพื่อหวังนำข้อเขียนของสหายช่วงลงตีพิมพ์

“เรียงวางบทความทั้งหมดแล้ว เหลือพื้นที่ว่างอีก 1 หน้าครับพี่”

ผมเรียกเจ้าของบริษัทว่าพี่ ตามพนักงานอื่นๆ เหมือนว่าที่นี่ต้องการอยู่อย่างพี่น้อง ไม่มีเจ้านายลูกจ้าง

“พอมีภาพหรืออะไรลงให้ครบหน้าบ้างมั้ย ถ้ามีจัดการได้เลยนะ เรียบร้อยแล้วส่งพิมพ์ได้เลย ไม่ต้องให้พี่ตรวจแล้ว…เย็นนี้พี่ต้องออกไปธุระข้างนอก”

เข้าทางผม อันดับแรกต้องพิมพ์ข้อความจากกระดาษ A4 ถ่ายเอกสารลายมือนั้น ออกมาเป็น word เพื่อเอาไปลงในโปรแกรมจัดหน้า ลายมือสหายช่วงจัดว่าอ่านยากมาก แต่ไม่เกินความสามารถเด็กเรียนวารสารศาสตร์อย่างผม เคยแกะลายมือผู้พิพากษาคดีประวัติศาสตร์ ชนิดที่ว่า ตัวหนังสือไม่ต่างกับเอาไส้เดือนชุบน้ำหมึกวางบนกระดาษมาแล้ว เนื้อหาข้อเขียนลายมือสหายช่วงพูดถึงคนรักตอนอยู่ป่าเขา ภาษาที่สื่อออกมาเหมือนไม่ผ่านการฝึกหัดด้านการเขียน ไร้วรรณศิลป์ ซื่อ ไม่ต่างอ่านจดหมายรักจากศาลาคนเศร้ายุคก่อน หรืออาจเป็นเหตุผลนี้ข้อเขียนของแกเลยไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ลงจุลสาร เพราะพูดถึงความรักเรื่องส่วนตัว… แต่ไม่สิ คนคนหนึ่งต้องเดินทางหลบหนีเข้าป่าในยุคกวาดต้อนขับไล่นักศึกษาหัวก้าวหน้า การได้พบรักแท้ในป่าย่อมไม่ไร้สาระเสียทั้งหมด มันเป็นความรักที่มีพื้นจากคนอุดมการณ์ด้วยกัน เพียงแต่ผู้เขียนไม่มีทักษะทางวรรณศิลป์ใส่จริตด้านการประพันธ์ให้น่าอ่านขึ้นก็เท่านั้น ผมสแกนต้นฉบับลายมือลงประกอบบทความด้วย ใช้ชื่อเรื่องว่า “แด่เธอผู้เป็นดวงดาว” ด้วยเพราะผู้หญิงในเรื่องที่ถูกเขียนถึงชื่อ สหายดวงดาว

จุลสารออกจากโรงพิมพ์เรียบร้อยแล้ว เจ้าของบริษัทถึงเห็นว่าผมเอาข้อเขียนของสหายช่วงลงในเล่มด้วย ถึงตอนนี้จะแก้คงแก้อะไรไม่ได้แล้ว

“เอาลงด้วยเหรอนี่ พี่ลืมบอกไปว่าอย่าเอาลง”

“ผมเห็นแกส่งมาหลายครั้งแล้ว พอดีหน้าว่างเลยเอาลง ต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ หากผมทำอะไรโดยพลการไป…”

“พี่ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่เนื้อหามันอ่อน เป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ส่วนตัวเกินไป ไม่สอดคล้องกับแนวทางข้อเขียนในจุลสารของเรา แต่เมื่อลงแล้วก็ช่างมันเถอะ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ผิดที่พี่เอง ไม่ตรวจสุดท้ายก่อนส่งพิมพ์”

 

วันนัดพบสังสรรค์รอบใหม่มาถึง ผมต้องไปจัดสถานที่อาคารสโมสรศิษย์เก่าเหมือนเดิม รู้สึกแปลกใจเห็นสหายช่วงมารออยู่ก่อนแล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์การแต่งกายแบบคนบ้านๆ ไร้สง่าราศี หอบเอกสารใส่ถุงพลาสติกพะรุงพะรัง คนเฝ้าอาคารไม่อนุญาตให้เข้าไป ต่อเมื่อผมซึ่งคุ้นเคยกับคนเฝ้าดีชี้แจงว่าแกคือแขกมาร่วมงานสังสรรค์ด้วย นั่นแหละเขาถึงยอมให้เข้าอาคาร

“เห็นข้อเขียนผมแล้วใช่ไหมในจุลสาร นี่ผมเขียนเรื่องใหม่อีกเรื่อง เอามาแจกทุกคนให้อ่านวันนี้ด้วยนะ”

พร้อมกับพูด สหายช่วงรีบล้วงข้อเขียนลายมือถ่ายเอกสารยื่นให้ผม ด้วยใบหน้าภูมิอกภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นเราร่วมกันจัดโต๊ะ เก้าอี้ เวทีแลกเปลี่ยนจนเสร็จ

ถึงเวลานัดหมาย สมาชิกในกลุ่มเริ่มทยอยเข้ามาในห้อง สหายช่วงเดินแจกข้อเขียนถ่ายเอกสารผลงานตัวเองเหมือนทุกครั้ง และเช่นกันทุกคนพอรับแล้ววางไว้ข้างๆ อย่างไม่สนใจคิดจะอ่าน สักพักหล่นตกเรี่ยราดบนพื้นไม่ต่างขยะ ผมในฐานะคนทำหนังสือ รู้ดีว่ากว่าชิ้นงานจะออกมาได้สักเรื่อง มันยากเย็นแสนเข็ญ ไหนต้องเขียนด้วยลายมือ เอาที่เขียนไปถ่ายเอกสาร หอบหิ้วขึ้นรถข้ามจังหวัดเดินทางมาแจก หวังเพียงเพื่อนๆ ได้อ่านผลงานตัวเอง

การพูดคุยสังสรรค์ดื่มกินผลัดกันขึ้นไปกล่าวหน้าโพเดี้ยม แสดงทัศนะทางการเมือง สังคม อิงจากข้อเขียนที่พิมพ์ในจุลสาร คนไหนเขียน คนนั้นขึ้นไปพูด บางคนพูดน้อย บางคนพูดมากติดลมนานเป็นชั่วโมงๆ แต่พอถึงเรื่อง “แด่เธอผู้เป็นดวงดาว” คนดำเนินรายการจงใจข้ามไป ผมรู้สึกเสียใจแทนสหายช่วง แกน่าจะได้ขึ้นไปกล่าวอะไรบ้าง อยากฟังเสียงเหน่อๆ แบบชาวเมืองกาญจน์ หันไปมองเจ้าตัวเห็นนั่งหน้าระรื่นดั่งเดิม คอยฟังคนอื่นพูด และรอคอยปรบมือพอคนอื่นพูดจบอย่างไม่รู้สึกรู้สาน้อยใจอะไร

อันที่จริงตามกำหนดการงานเลิกห้าโมงเย็น แต่เอาเข้าจริงๆ ทุกคนติดลมดื่มกินติดพัน เลยเถิดไปจนถึงหนึ่งทุ่ม เจ้าหน้าที่อาคารต้องมาเตือน นั่นแหละงานถึงเลิก ทุกคนเริ่มทยอยกลับ สหายช่วงกับผมช่วยกันเก็บสถานที่ให้เรียบร้อยเหมือนเดิม กว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นเข้าที่ ดูนาฬิกาหน้าจอมือถือก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่าแล้ว

“เอ่อ แล้วจะกลับยังไงครับนี่…ค่ำแล้ว”

“ไม่ต้องเป็นห่วงสหาย ผมคนป่าคนดง นอนแถวป้ายรถเมล์ก่อนสักคืนก็ได้ รุ่งเช้าค่อยไปท่ารถทัวร์ที่สายใต้ใหม่ ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”

ถ้าหากไม่ได้รับน้ำใจจากชายตรงหน้าช่วยยกเก็บกวาดสถานที่ หลายครั้งหลายครา ได้อ่านข้อเขียนที่สื่อถึงคนรักแบบบริสุทธิ์ใจ พูดตรงๆ ตอนอ่านข้อเขียนลายมือเรื่องราวสหายดวงดาวผมถึงกับขอบตารื้น อ่านไปพลางนึกหน้าผู้เขียนในสภาพปัจจุบันไปด้วย สหายดวงดาวคงเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิตอุดมการณ์ของแกไว้ทุกวันนี้

“เอาอย่างนี้แล้วกัน…ไปพักกับผมก่อนที่ห้องเช่า รุ่งขึ้นค่อยนั่งรถเมล์ไปสายใต้ใหม่ ผมอยู่คนเดียว ห้องมีที่ว่างพอนอนได้สองคน”

สหายช่วงเงยหน้าขึ้นสบตาผมแว่บหนึ่ง ก่อนจับมือผมเขย่า พูดขอบอกขอบใจยกใหญ่

 

จากอาคารสโมสรศิษย์เก่าสถานที่จัดงานสังสรรค์ถึงที่พักห้องเช่า ระยะทางไม่ไกลมากนัก ปกติผมเดินเท้ากลับสบายๆ แต่วันนี้ด้วยสภาพอาคันตุกะเดินขาไม่สามัคคีกัน รู้สึกสงสารหากต้องเดินไกล เลยเรียกแท็กซี่ให้ไปส่ง ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงที่พัก

ห้องเช่าผมเป็นแบบถูกๆ ขนาดกว้าง 16 ตาราเมตรมีห้องน้ำในตัว มีเตียงสำหรับนอนได้คนเดียวหนึ่งเตียง ถ้ามีใครมานอนด้วยสามารถเอาผ้านวมหรือเสื่อมาปูข้างๆ เตียง พอเบียดเสียดกันได้ ผมละอายใจเกินกว่าจะให้ผู้อาวุโสอย่างสหายช่วงนอนพื้นล่างขณะตัวเองนอนบนเตียง แม้เจ้าตัวยืนยันเสียงแข็งขอนอนบนพื้นเสื่อเองก็ตาม ในที่สุดเมื่อตกลงกันไม่ได้ผมเลยต้องลงมานอนพื้นด้วย

“รับปริญญาเมื่อไหร่…”

สหายช่วงเอ่ยขึ้นในความเงียบ หลังปิดไฟเตรียมนอน เพราะห้องไม่มีอุปกรณ์สำหรับนันทนาการอะไรเลย ไม่มีทีวี เครื่องเสียง มีแต่เตียงกับตู้เสื้อผ้าพลาสติก

“กำหนดรับปริญญาปลายเดือนสิงหานี้ครับ รับที่จังหวัดนครปฐม มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนภาคกลางทั้งหมด จะรับร่วมกันที่นครปฐม สิ้นเดือนหน้าผมก็ฝึกงานจบแล้ว อาจคงไม่ได้เจอกันอีก…”

จากการพูดคุยกันก่อนหน้าช่วงช่วยกันจัดสถานที่ ผมเล่าชีวิตตัวเองให้สหายช่วงฟังบ้างแล้ว ต้องฝึกงานหนึ่งเทอมถึงจะจบหลักสูตร จบรับปริญญาได้ รวมถึงเล่าพื้นเพชีวิต พ่อแม่เสียตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กวัด หลวงลุงส่งเสียให้เรียน

ในความมืด มีเพียงความเงียบทำหน้าที่เป็นสักขีพยานการสนทนาระหว่างเราสองคน

 

“เล่าเรื่องสหายดวงดาวให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”

ผมหาเรื่องชวนคุย ทำลายความอึดอัด หากต้องนอนลืมตาในความมืด ไม่คุยอะไรกันบ้าง ตอนแรกนึกว่าคนถูกถามจะไม่เล่า เพราะคำตอบเดินทางมานานจนชวนอึดอัด แต่สุดท้ายเสียงสหายช่วงก็ดังขึ้นในความมืด

“ตอนนั้นผมเข้าเรียนรามคำแหง ไม่ได้สนใจการเมืองเท่าใดนักหรอก แค่รู้ว่าบ้านเมืองเต็มไปด้วยความไม่ถูกต้อง อภิสิทธิ์ชนนั่ง ฮ.ยิงสัตว์ป่าสงวนที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ความเหลื่อมล้ำเต็มบ้านเต็มเมือง นำไปสู่การเรียกร้องรัฐธรรมนูญของตัวแทนนักศึกษา เพราะประเทศไทยตอนนั้นปกครองด้วยระบบเผด็จการทหารยาวนานมาก จนถูกจับในที่สุด แต่สหายดวงดาวไม่เหมือนผม เธอใส่ใจเหตุการณ์บ้านเมือง ร่วมทำกิจกรรม ร่วมเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวนักศึกษาที่ถูกจับกุมเพราะเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ผมไปเพราะเป็นห่วงเธอ กลัวเธอจะเป็นอันตราย…”

“แสดงว่าเมื่อก่อน ไม่ได้ขาเป๋ ใช่มั้ยครับ”

“ไม่…ผมโดนยิงตอนไปเป้ข้าวสารกับสหายดวงดาว”

“เรื่องมันเป็นยังไงเหรอครับ…”

ข้อดีอย่างหนึ่งของห้องเช่าที่ผมอยู่คือ กลางคืนจะเงียบมาก ทุกคนล้วนเป็นชนชั้นกรรมาชีพ ขายแรงงาน ป้าห้องข้างๆ ทำงานแม่ครัวศูนย์อาหารในห้าง อีกห้องแม่บ้านออฟฟิศ ห้องอื่นๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน กรำงานทั้งวัน กลับถึงห้องแทบจะหลับคาเตียง เสียงพูดของเราแม้ไม่ดังมาก แต่ในความเงียบและมืดมันดังแจ่มชัดเหลือเกิน

“หลังจากเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะราบรื่น แต่เปล่าเลย นักศึกษาหัวก้าวหน้าถูกทางการเพ่งเล็ง อิทธิพลคอมมิวนิสต์จีนแพร่กระจายมาประเทศเพื่อนบ้าน หลายคนผิดหวังกับระบบแบบเก่า อยากแสวงหาหนทางใหม่ เพื่อสังคมที่ดีกว่า หนึ่งในนั้นคือสหายดวงดาว เธอกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์เข้าป่าเพื่อศึกษาระบบใหม่อย่างจริงจัง… ผมเข้าร่วมด้วยเพราะเป็นห่วงเธอ ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรกับเขาหรอก กลัวเธอจะได้รับอันตราย ไม่มีใครเคียงข้างคอยดูแล…”

ฟังมาถึงตอนนี้ ยิ่งตอกย้ำว่าตัวเองทำถูกต้อง ที่เอาข้อเขียนของสหายช่วงลงจุลสาร ผมไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนหนึ่งจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้มากมายถึงขนาดนี้

“หลังจากผมกับสหายดวงดาวเข้าป่าเขา อยู่เขตงานแถวจังหวัดน่าน เกิดวิกฤตครั้งใหม่ เมื่อจอมพลถนอมที่หนีออกนอกประเทศคราวประท้วงใหญ่เดือนตุลา 2516 จะกลับคืนประเทศโดยโกนหัวห่มเหลืองบวชเณรกลับเข้ามา นักศึกษาประชาชนที่เคยสูญเสียเพื่อน สูญเสียคนรัก จากเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ ไม่ยอม รวมตัวกันต่อต้าน อันนำไปสู่การล้อมปราบอีกครั้ง นักศึกษาปัญญาชนที่รอดชีวิตพากันหลบหนีเข้าป่า สมทบกับพวกที่เข้าไปอยู่ก่อน…”

“แล้วพวกพี่ๆ กลุ่มคนป่าเขาล่ะครับ เข้าป่ากันตอนไหน”

“ทั้งหมดเข้ามาตอนหลัง จากเหตุการณ์ล้อมปราบ 6 ตุลา 19 เป็นนักศึกษาปัญญาชนที่เข้ามาร่วมกับกลุ่มที่เข้าป่ามาก่อนตอนสมัย 14 ตุลา 16 พอคนเข้าร่วมมากขึ้น ปัญหาอย่างหนึ่งคือ เรื่องอาหารการกิน มีการแบ่งหน้าที่กันตามความถนัด มีหลายหน่วยตั้งแต่ หน่วยรบ หน่วยผลิต หน่วยศิลป์ หน่วยทำไร่ ช่วยงานฝ่ายปกครอง งานมวลชน งานโรงเรียน พวกเข้ามาครั้งหลังนี้ต่างเป็นปัญญาชน ถูกเรียกว่า ปัญญาชนนายทุนน้อย ต้องไปฝึกตัวเอง หัดจับจอบ เสียม จับอาวุธ ตามแต่เขาจะฝึกให้ ผมอาสาเป็นพี่เลี้ยงหน่วยเสบียง มีสหายดวงดาวเป็นหัวหน้า ในหน่วยมีคนสิบกว่าคน ต้องไปเป้ข้าวสาร อาหารแห้ง กะปิ น้ำปลา จากมวลชนที่เป็นแนวร่วม…”

สำเนียงแบบคนเมืองกาญจน์ ในความรู้สึกผมน่าฟัง มีน้ำใสใจจริงในเนื้อเสียง ผมคล้อยตามมีอารมณ์ร่วมเต็มที่กับเรื่องราวจากปากสหายช่วง เริ่มวาดโครงหน้าสหายดวงดาวขึ้นในจินตนาการ เธอต้องเป็นคนรูปร่างสวย ตามแบบฉบับนักศึกษา แววตาเด็ดเดี่ยว จมูกได้รูปปลายเชิด ปากสวยเล็กบาง ผิวขาว และไว้ผมยาวรวบมัดไว้อย่างสวยงาม

“สหายดวงดาวหน้าตาเป็นยังไงหรือครับ”

แม้จะวาดหน้าตาสหายดวงดาวขึ้นในจินตนาการ แต่ผมก็ยังอยากได้ยินจากปากจคนใกล้ชิดเธอที่สุดว่าจะตรงกับที่คิดไว้ไหม

“สหายดวงดาวเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ผิวคล้ำ จมูกแบน ตาเข้ม หน้ากลม ตัดผมสั้น ยิ้มง่าย เวลายิ้มทำให้คนรอบข้างพลอยมีความสุขไปด้วย แววตาซื่อใสเหมือนเด็กน้อย ดูอ่อนกว่าวัย ขยันอยู่ไม่นิ่ง ใครมีอะไรให้ช่วยเหลือไม่เคยปฏิเสธ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมด้วยแล้วเธออาสาเต็มที่”

ผมรู้สึกผิดคาดกับรูปลักษณ์สหายดวงดาวตามคำบอกเล่าของสหายช่วง นึกว่าจะสวยสะคราญตามแบบนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วไป

 

“แล้วโดนยิงตอนไหนหรือครับ”

ผมกลัวบทสนทนาจะข้ามเรื่องที่ตัวเองถามไว้ จึงย้ำถามไปอีกรอบ ด้วยความรู้สึกอยากติดตามเรื่องราวอย่างละเอียด

“ก่อนโดนยิง นักศึกษาจากเหตุการณ์ล้อมปราบที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพิ่งเดินเข้ามาสมทบ ทางการส่งทหารมากวาดล้างแทบทุกวัน โดยเฉพาะทางอากาศ ทิ้งระเบิดแบบปูพรม พวกเราต้องขุดหลุมหนีแรงระเบิด ช่วงนั้นสถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด ทางใต้มีการลอบยิง ฮ.ของทางการตก ทำให้คนชั้นสูงเสียชีวิต หน่วยเสบียงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว ลงไปเป้ข้าวสารหมู่บ้านข้างล่าง เดินทางกันไปกลางคืนเพื่อไม่ให้เสียลับ ขากลับด้วยร่างกายเหนื่อยล้า ทุกคนเป้ข้าวสารและของแห้งกันเพียบหลัง ไม่มีเส้นทางตรงบนภูเขาตามที่เขาว่า เราต้องเดินไต่ทางสูงชัน สลับทางรกเรื้อน่าหวาดเสียว ขณะเดินตามหลังกันไป ฟ้าเริ่มสว่าง เห็นหลังกันรางๆ จู่ๆ เสียงปืนก็แผดขึ้นอย่างหูดับตับไหม้ เราทั้งหมดเป็นเป้าโจมตี ระลอกแรกล้มตายต่อหน้าต่อตากันเกินครึ่ง ผมทิ้งเป้รีบไปตะครุบสหายดวงดาวให้หมอบลง ตะเกียกตะกายคลานหนีรัศมีคมกระสุน หน่วยเสบียงพกอาวุธเบากันส่วนมาก มีแค่คนสองคนเท่านั้นสะพายปืนเอเคจากจีน ในป่าดงแม้อาทิตย์จะขึ้นแล้วแต่ทัศนวิสัยยังมืดอยู่ ผมคลานตามหลังสหายดวงดาวหลบเข้าไปในซอกหิน ขณะกระสุนโถมสาดมาเหมือนฝนตก จังหวะหนึ่งเท้าข้างซ้ายคล้ายโดนจี้ด้วยไฟร้อนชาไปทั้งแถบ ก้มดูจึงรู้โดนยิง แต่ยังมีแรงใช้สองแขนแทนขาคลานซอกแซกตามร่องหินหนีสุดชีวิต จนเราพาร่างไกลออกมาจากเสียงปืนจุดซุ่มยิง คนอื่นๆ มารู้ภายหลังตายกันหมด…”

เล่าถึงตอนนี้ สหายช่วงหยุดเงียบ เหมือนนึกทบทวนเหตุการณ์ครั้งนั้นอีกครั้ง ห้องเช่าผมอยู่ชั้นสามห้องริม มีหน้าต่างติดกรงเหล็ก มีมุ้งลวดกันยุง พอปิดไฟมองออกไปจะเห็นท้องฟ้าเมืองกรุงขมุกขมัว ด้วยไฟเมืองส่องตลอดคืนสะท้อนขึ้นฟ้า ยากจะเห็นดวงดาวด้วยตาเปล่าได้ ถึงมองไม่เห็นแต่ดวงดาวก็ยังมีอยู่บนฟ้านอกหน้าต่าง

“ตอนแรกนึกว่าแค่ผมโดนยิงข้อเท้าจนกระดูกแตก สหายดวงดาวเธอก็โดนยิงกระสุนทะลุที่สะเอวใต้ซี่โครงด้านขวา เธออดทนช่วยพยุงร่างผมทุลักทุเลกลับฐาน ฉีกผ้ามาพันห้ามเลือดผมไว้ที่เท้า อีกผืนมัดพาดสะเอวปิดแผลตัวเอง เธอใจเด็ดและสูงส่งเกินกว่าทำตามคำขอให้ทิ้งผมไว้กลางป่า มิเช่นนั้นอาจไม่รอดทั้งคู่ หากฝ่ายเจ้าหน้าที่มาเจอ ผมไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่เธอพยุงแขนพาดบ่า ประคองเดินช้าๆ ไปทีละนิด เสียงลมหายใจ กลิ่นเหงื่อผสมคาวเลือด เสียงเต้นหัวใจของอีกคนสะเทือนถึงอีกคน ในที่สุดเธอพาผมกลับถึงฐานจนได้ ขาผมได้รับการรักษาแบบแพทย์ในป่า ถึงรักษาหายไม่ติดเชื้อจนต้องตัดขาทิ้ง แต่ไม่อาจกลับมาเดินเหมือนเดิมได้ตลอดกาล”

“สหายดวงดาวเคราะห์ร้าย เธอบอบบาง ร่างกายอ่อนแอแม้หัวใจจะแข็งแกร่ง บาดแผลติดเชื้อ ในป่าไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ดีพอ หากติดเชื้อลามเข้ากระแสเลือดรุนแรง ก่อนเธอหมดลม ผมขอแต่งงานกับเธอ…”

 

ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่หางตา ปะติดปะต่อเรื่องราวหลังจากนั้นเอาเอง คนคนหนึ่งเมื่อสูญสิ้นผู้หญิงอันเป็นที่รัก เป็นลมหายใจ เป็นทุกอย่างในชีวิต คงหมดอาลัยตายอยากต่อการดำรงอยู่ต่อไปในโลกใหม่ ไม่อยากพัฒนาความเป็นอยู่เหมือนสหายคนอื่นที่ออกจากป่ามาเริ่มเล่าเรียนในระบบจนจบ สร้างฐานะทางเศรษฐกิจกลายเป็นนายทุนใหญ่ นายทุนเล็ก ข้าราชการ เจ้าของห้างร้านบริษัท บ้างก็แปรผันเดินทางสายการเมืองจนเป็นที่รู้จักแพร่หลาย

ยิ่งดึก นอกหน้าต่างฟ้ายิ่งจ้า ไฟเมืองไม่ยอมหลับนอน สหายช่วงเงียบเสียงไปแล้ว คงหลับหรือไม่หลับ ความรู้สึกผมคล้ายโดนขยี้ด้วยเรื่องราวความรักและอุดมการณ์ของคนอยู่ในเหตุการณ์จริง มีเลือดเนื้อชีวิตจริง และที่สำคัญกำลังนอนอยู่ข้างๆ ผมในห้องเช่าถูกๆ คืนนี้

เป็นคืนแรกตั้งแต่นอนในห้องเช่านี้มา ที่ผมอยากเห็นดวงดาวนอกหน้าต่างสักดวง…แต่ก็ไม่เห็น

 

ผมสิ้นสุดการฝึกงานกับบริษัทปลายเดือนนั้นเอง เจ้าของบริษัทพร้อมพี่ๆ พนักงาน จัดงานเลี้ยงส่งเล็กๆ ให้ผมอย่างอบอุ่น มีพี่คนหนึ่งมารับผิดชอบงานจุลสารต่อจากผม วันเดินออกจากบริษัทผ่านโต๊ะจดหมาย ผมพยายามกวาดสายตาหาซองจดหมายบรรจุข้อเขียนของสหายช่วง ให้รู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็น ปกติแกจะส่งมาตั้งแต่ต้นเดือน ใส่ซองสีน้ำตาล ลายมือจ่าหน้าโย้เย้เป็นเอกลักษณ์ ติดแสตมป์ดวงละสามบาทสามดวง ประทับตราส่งจากเมืองกาญจน์

วันรับปริญญามีสามวัน ผมรับวันที่สามวันสุดท้าย หลังเสร็จสิ้นพิธีการ เดินออกมาจากห้องประชุม สวมชุดครุยเครื่องหมายจบการศึกษา ต่อแถวเพื่อนบัณฑิตคนอื่น แทบทุกคนมีพ่อแม่ญาติมิตรเพื่อนฝูงห้อมล้อมร่วมยินดี คล้องมาลัยธนบัตร ช่อดอกไม้ ตุ๊กตา ส่วนผมหลวงลุงติดงานเผาศพมาร่วมยินดีด้วยไม่ได้

“สหาย สหาย!”

ขณะเดินผละจากเพื่อนบัณฑิต กะว่าจะไปหาที่ถอดชุดครุยออก จู่ๆ หูแว่วได้ยินเสียงนี้ ถึงกับหยุดกึก ด้วยความคุ้นชิน รีบหันไปทางต้นเสียงเห็นสหายช่วงยืนถือช่อดอกไม้อยู่ข้างทาง วูบแรกนึกว่าแกมาร่วมยินดีกับลูกหลานคนรู้จัก เลยเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้

“เจอคนมาร่วมยินดีหรือยังครับ ให้ผมช่วยหาไหม คนเยอะแบบนี้หายากสักหน่อย นัดกันตรงไหนหรือครับ…” ผมถามอย่างห่วงใย

“ผมมายินดีกับสหายนั่นแหละ ขอร่วมยินดีด้วยนะ นี่ดอกไม้ อาจไม่สวย ผมเด็ดมาจากไร่ที่บ้าน เหี่ยวหน่อยนะ…”

ผมยื่นมือรับช่อดอกไม้อย่างงงๆ ไม่นึกว่าจะมีใครมาร่วมยินดีด้วย

“แล้วรู้ยังไงครับว่าผมรับวันนี้ เขารับกันตั้งสามวัน”

“ผมก็มาทั้งสามวันน่ะแหละ มายืนตรงนี้เพราะเห็นบัณฑิตทุกคนต้องผ่านทางนี้…”

ขอบตาผมกระตุกถี่ๆ ร้อนผ่าว พยายามเก็บกักความตื้นตันไม่ให้ไหลท้นออกมา คนคนหนึ่ง อายุอานามเกินเจ็บสิบแล้ว ร่างกายพิการ มายืนรอตรงนี้ตลอดสามวันเพียงเพื่อร่วมยินดีกับคนที่ถูกเรียกว่าสหาย ทั้งๆ ที่เขายังไม่ถ่องแท้ถึงคำนี้ด้วยซ้ำ ผมโอบกอดช่อดอกไม้นั้นไว้แนบอกอย่างตื้นตัน กลั่นคำพูดจากใจบอกไปว่า

“ขอบคุณครับ…สหาย” •