ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กันยายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
ผ่านไปเรียบร้อยสำหรับการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา จากนี้ไปนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ต้องเดินหน้าเร่งทำงานตามที่ให้สัญญาประชาคมไว้ ไม่มีเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์เพราะประเทศไทยบอบช้ำในทุกๆ ด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อันเป็นผลพวงจากสงครามสี รัฐประหารมานานเกือบ 20 ปี แถมเจอพิษโควิดขย้ำซ้ำอีกต่างหาก
ในบทเกริ่นนำนโยบายของคุณเศรษฐาซึ่งบางสื่อเรียกชื่อเล่นว่า “นิด” หยิบยกความแปรปรวนของสภาพอากาศสุดขั้ว ปรากฏการณ์เอลนีโญ มาอ้างถึงและชี้ว่านำไปสู่ความเสี่ยงของภาคการเกษตร และรัฐบาลจะต้องเตรียมความพร้อมรับมือเพื่อลดผลกระทบ
การอ้างถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในคำแถลงนโยบายถือว่ารัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่น้อยทีเดียว
คุณเศรษฐาวาดฝันคุณภาพชีวิตของคนไทยว่าจะต้องมีสิ่งแวดล้อมสะอาด ดูแลรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของประเทศที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน
รัฐบาลจะส่งเสริมและเร่งฟื้นฟูความสมบูรณ์ของดิน น้ำ คืนสู่ธรรมชาติ รักษาความสมดุลของระบบนิเวศและอนุรักษ์ความหลากหลายพืชพันธุ์ สัตว์ป่า แก้ปัญหาความเสื่อมโทรมและมลพิษ ทั้งรับมือวางแผนป้องกันวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ประเด็นเรื่องฝุ่นควันพีเอ็ม 2.5 รัฐบาล “เศรษฐา” ชูให้เป็นวาระแห่งชาติตามรอยรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยอ้างเหตุผลว่า ฝุ่นควันพีเอ็ม 2.5 ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
แต่แนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันพีเอ็ม 2.5 นั้น ชาวบ้านฟังแล้วออกจะงงๆ เพราะบอกแค่รัฐบาลจะสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจทั้งทางบวกและทางลบในภาคเกษตรกรรม
คำว่าทางบวก ทางลบนั้นคุณเศรษฐาไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าหมายถึงอะไร
เช่นเดียวกับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนด้านการลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ ถือเป็นคำแถลงที่ฟังดูสวยหรู
ถ้าภายใน 4 ปีข้างหน้ารัฐบาลชุดนี้ทำได้อย่างที่คุยไว้จนกระทั่งไทยได้รับการเชิดชูให้เป็นผู้นำของอาเซียน ก็ต้องยกนิ้วให้เลยเพราะความเป็นกลางทางคาร์บอนคือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดูดกลับคืนมา ในปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดในโลกทำสำเร็จ
แนวทางความเป็นกลางทางคาร์บอนประเทศไทยถ้าจะทำให้สำเร็จได้ต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียนเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมเพื่อทดแทนพลังงานที่มาจากน้ำมัน ก๊าซและถ่านหิน
เวลานี้ ประเทศไทยใช้น้ำมัน ก๊าซและถ่านหิน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และใช้พลังงานหมุนเวียนราวๆ 15%
ภาคการผลิตที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดคือการผลิตไฟฟ้า รองลงมาโรงงานอุตสาหกรรม การขนส่งและครัวเรือน
รัฐบาลต้องลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เพิ่มระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานหมุนเวียนอื่นๆ
โรงงานอุตสาหกรรมต้องได้รับการสนับสนุนการใช้แผงโซล่าร์เซลล์ พลังงานลมเยอะๆ เช่นเดียวกับบ้านเรือนใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง หรือติดตั้งโซล่าร์เซลล์เพิ่มขึ้น ส่วนรถยนต์ใช้น้ำมัน ก๊าซต้องสนับสนุนให้เปลี่ยนเป็นรถพลังงานไฟฟ้า
กระทรวงพลังงานได้เล็งเป้าการใช้พลังงานทดแทนสัดส่วน 30% ภายในปี 2580 หรือ 14 ปีนับจากนี้ ฉนั้นนโยบาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ของรัฐบาล “นิด 1” ค่อนข้างเพ้อฝันไปหน่อย
นอกจากเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานเป็นพลังงานทดแทนแล้ว การจะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ผลเลิศ รัฐบาลต้องปลุกกระแสเขียวด้วยการปลูกป่าให้มากขึ้น เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์
ช่วง 50 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ป่าบ้านเราลดลงอย่างน่าใจหาย ปี 2516 เคยมีพื้นที่ป่ารวมๆแล้ว 138 ล้านไร่หรือเป็นสัดส่วนราว 43% ของประเทศ มาปี 2565 เหลือป่าอยู่แค่ 102.135 ล้านไร่หรือ 31.57%
ช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศนำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) มาใช้ในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ปรากฎว่า ปี 2563 พื้นที่ป่ามีจำนวน 102.35 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วน 31.64%ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2562 ราว 0.04%
ขยับมาปี 2564 มีพื้นที่ 102.21 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วน 31.59% พื้นที่ป่าโดนโค่นไปอีกกว่า 1 แสนไร่
รัฐบาล”ลุงตู่”ดูแลรักษาป่าแบบไหนทำไมพื้นที่ป่าจึงลดลง
คุณเศรษฐาน่าจะเอามาเป็นกรณีตัวอย่างป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
หลังคุณเศรษฐาแถลงนโยบายรัฐบาลแล้ว อีก 3 วันต่อมาพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งโต๊ะแถลงขานรับนโยบาย “นิด1”
พล.ต.อ.พัชรวาทบอกว่า การรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้เป็นไปตามเป้าของประเทศจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 หรืออีก 27 ปีข้างหน้า
ส่วนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือปลอดคาร์บอนภายในปี 2608 หรือนับจากนี้ 42 ปี
กระทรวงทรัพย์ฯได้ตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเพื่อลุยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนเรียบร้อยแล้วและมีแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ระหว่างปี 2564 – 2573
แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติเป็นแนวทางสร้างภูมิคุ้มกันและรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งการจัดการน้ำ การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร การท่องเที่ยว สาธารณสุข มีมาตรการส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์
ในการสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต จะต้องออกระเบียบส่งเสริมให้ภาคเอกชนและชุมชนเข้าร่วมปลูกและดูแลรักษาป่าไม้ ป่าชายเลน เพื่อแบ่งปันคาร์บอนเครดิตระหว่างภาคเอกชนหรือชุมชนกับภาครัฐในสัดส่วนร้อยละ 90 ต่อ 10 หรือตามแต่ข้อตกลง ควบคู่กับผลักดันกลไกภาษีคาร์บอน หรือ Carbon Tax เพื่อเป็นมาตรการจูงใจให้กับภาคเอกชน
ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเป็นกลไกให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้า
สร้างรายได้และโอกาสการเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปสู่การพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ
ด้านการแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 นั้น คุณพัชรวาทแถลงว่า จะร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ใช้มาตรการลดฝุ่นละอองจากรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม คุมการเผาป่า เผาวัสดุการเกษตร สร้างมาตรการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านลดปัญหาหมอกควันข้ามแดนและจะผลักดันพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ
กระทรวงทรัพย์ฯยังมีแผนแก้ปัญหาขยะมูลฝอยอย่างครอบคลุมทั้งระบบ ตั้งแต่การสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนจัดการและคัดแยกขยะครัวเรือน ขยะชุมชนตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงการยกระดับสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยที่ไม่ถูกต้อง 1,963 แห่งให้มีการจัดการที่ดี ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดการขยะในภาคอุตสาหกรรมอย่างถูกต้องให้จัดการขยะมูลฝอยเป็นไปตามแผนแม่บทการจัดการขยะของประเทศรวมถึง การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
รัฐบาล”เศรษฐา”ประกาศนโยบายให้คนไทยทั้งประเทศได้รับรู้ไปแล้ว นับจากนี้ก็เป็นขั้นตอนการลงมือทำและเป็นหน้าที่ของคนไทยติดตามดูว่ารัฐบาลจะทำได้จริงอย่างที่ให้สัญญาหรือไม่? •
สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022