ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 ธันวาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
ในช่วงที่สอง (ระหว่างปี 1902-1932) เริ่มจากครอบครัวอัล-สะอูด ได้เข้าครองกรุงริยาฏอีกครั้งในปี 1902 และอยู่ในอำนาจต่อมาอีก 30 ปี ในสมัยของพระองค์ซาอุดีอาระเบียมีความรุ่งเรืองทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้ว่าครอบครัวต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักหน่วงทั้งจากออตโตมานและอังกฤษ นอกเหนือไปจากอาหรับเผ่าต่างๆ
ด้วยเหตุนี้ ซาอุดีอาระเบียจึงต้องเผชิญกับอำนาจที่มาจากหลายทิศทาง ทั้งจากอียิปต์ ตุรกีและอังกฤษ รวมทั้งเผ่าพันธุ์อาหรับอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่ออกมาต่อต้านอำนาจทางทหารของครอบครัวอัล-สะอูดและอำนาจทางศาสนาของวะฮาบีย์ที่เข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของอัล-สะอูดก็สามารถขยายอำนาจออกไปได้กว้างไกลอีกครั้งและมีการจัดระเบียบภายในได้สำเร็จอันเนื่องมาจากการล่มสลายของอาณาจักรออตโตมาน
ในปี 1912 อิบนุ สะอูดได้สร้างกองทหารอาชีพขึ้นมาเรียกว่ากองทหารอิควาน (Ikwan) หรือกองทหารแห่งภราดรภาพ
กองทหารอิควานได้กลายมาเป็นอาวุธของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียที่จะจัดการกับผู้ลุกฮือหรือก่อการปฏิวัติขึ้นมาภายในดินแดนของรัฐที่ก่อตัวขึ้น
กองกำลังนี้มีหน้าที่ต่อสู้กับศัตรูของครอบครัวอัล สะอูดและเป็นกองกำลังที่ปฏิบัติตามแนวคิดวะฮาบีย์
เมื่อ อิบนุ สะอูด รับรู้ถึงการสนับสนุนจากอังกฤษให้เข้ายึดครองกรุงริยาฏอีกครั้ง พระองค์ไม่ต้องการให้ซาอุดีอาระเบียเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ
ในช่วงทศวรรษ 1920 เมื่อมีการค้นพบน้ำมันในซาอุดีอาระเบียเป็นครั้งแรก ครอบครัวของ อิบนุ สะอูด ก็ใช้โอกาสนี้โดยทันทีเป็นเครื่องเชื่อมความสัมพันธ์กับสหรัฐ
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐขึ้นอยู่กับน้ำมัน ซึ่งในเวลาต่อมากลายมาเป็นเครื่องมือความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไปในที่สุด
ช่วงทศวรรษที่สามของศตวรรษที่ 21 (ระหว่างปี 1930-1973) ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของซาอุดีอาระเบีย วิธีชีวิตทางสังคม-เศรษฐกิจที่เคยเรียบง่ายมาตลอดขวบปีที่ผ่านมา กลายมาเป็นการทำให้ประเทศมีโครงสร้างสาธารณูปโภคทันสมัยไปทั่วคาบสมุทร อุตสาหกรรมหนักกลายมาเป็นความสำคัญเพิ่มขึ้น
ในช่วงนี้เช่นกันที่ประเทศเปลี่ยนไปสู่รัฐชาติสมัยใหม่โดยมีรัฐบาลรวมศูนย์อำนาจ และระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพโดยขึ้นอยู่กับการปิโตรเลียม
มีการนำเอางบประมาณของชาติและระบบภาษีมาใช้ นี่เป็นชั่วขณะที่ค่านิยมทางวัฒนธรรมและศาสนาถูกมองว่ามีความจำเป็นที่จะเปลี่ยนตัวเองไปสู่สังคมเทคโนโลยีสมัยใหม่
อย่างไรก็ตาม อิบนุ สะอูด ก็มีความปรารถนาที่จะไม่สร้างสถาบันที่เป็นศูนย์รวม และยังคงมีความปรารถนาที่จะรักษาเอกภาพเอาไว้ผ่านความภักดีของบุคคลที่จงรักภักดีต่อพระองค์โดยปฏิบัติตามจารีตวิถีของเผ่าพันธุ์
หลังการสวรรคตของ อิบนุ สะอูด ในปี 1953 ได้เกิดการต่อสู้ขึ้นในหมู่โอรสของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเจ้าชายสะอูดซึ่งเป็นโอรสองค์แรกกับเจ้าชายฟัยซอล (Prince Faizal) ซึ่งเป็นโอรสองค์ถัดมาอันเป็นการแข่งอำนาจในระหว่างโอรสของพระองค์ด้วยกันเอง
ปี 1958 ได้มีแรงกดดันมาจากครอบครัวกษัตริย์เอง เจ้าชายสะอูดถูกบีบให้สละอำนาจการบริหารให้กับเจ้าชายฟัยซอล แต่ยังคงดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป
ภายใต้การปฏิรูปของเจ้าชายฟัยซอล ซาอุดีอาระเบียได้เปลี่ยนรูปแบบการเงินขนานใหญ่
ในปี 1964 เจ้าชายสะอูดโอรสองค์โตซึ่งเป็นกษัตริย์ถูกบีบให้สละอำนาจ และแสวงหาการลี้ภัยในยุโรป ปล่อยให้ราชบัลลังก์ตกอยู่ในการบริหารจัดการโดยเจ้าชายฟัยซอล
เมื่อเข้ามาควบคุมซาอุดีอาระเบียได้แล้ว เจ้าชายฟัยซอลก็พยายามปฏิรูปขนานใหญ่ และเรียนรู้ถึงความจำเป็นที่จะทำให้เศรษฐกิจซาอุดีอาระเบียมีความทันสมัย
พระองค์ได้นำเอาแผนพัฒนาห้าปีมาใช้ ลงทุนในทางการศึกษา การขนส่ง การอุตสาหกรรม เพื่อยกมาตรฐานกาiครองชีพของชาวซาอุดีอาระเบีย
ช่วงทศวรรษ 1970 ซาอุดีอาระเบียจึงเป็นประเทศที่มีความเติบโตและกลายมาเป็นสังคมที่พัฒนาเพียงพอที่จะให้ประชากรของประเทศมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานได้ทั้งหมด
สําหรับช่วงปี 1973-ปัจจุบันนั้นพบว่าแม้ว่าในตอนกลางของศตวรรษที่ 21 ซาอุดีอาระเบียจะมีความรุ่งเรืองจนมีความพอเพียงแล้วก็ตาม แต่ผลกระทบในเวลาต่อมาของการพัฒนาก็คือการขาดแคลนแรงงานที่จะมาสนองตอบสังคมเศรษฐกิจสมัยใหม่ ยิ่งไปกว่านี้นั้นบางด้านของจารีตประเพณีที่ไม่อนุญาตให้ชายชาวซาอุดีอาระเบียทำงานเป็นแรงงานหรือกรรมกรก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ซาอุดีอาระเบียขาดแคลนแรงงานทั่วไป
สตรีของซาอุดีอาระเบียถูกห้ามการทำงานอาชีพใดๆ ที่จะต้องมามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่มิได้มีสายเลือดเดียวกันหรือผู้ที่แต่งงานกันได้
การห้ามสตรีมิให้ขับรถยังหมายถึงว่าสตรีส่วนใหญ่ไม่อาจทำงานได้
ด้วยเหตุนี้ในปลายทศวรรษ 1900 ร้อยละ 50 ของแรงงานในซาอุดีอาระเบียจึงประกอบขึ้นจากคนต่างชาติ
ช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่โซเวียตเข้ารุกรานอัฟกานิสถาน และการปฏิวัติของอิหร่านทำให้ประเทศอนุรักษนิยมอย่างซาอุดีอาระเบียมีความกังวลต่อสถานะของตนเองในทางจารีตประเพณี
หลายภาคส่วนที่เป็นประชาชนที่เคร่งครัดเริ่มต่อต้านผู้นำของตนเองที่พวกเขาเชื่อว่าทำให้ซาอุดีอาระเบียเสื่อมถอยและเอียงเข้าหาตะวันตก
ภายใต้กษัตริย์อับดุลลอฮ์ (King Abdullah) ซึ่งเข้าสู่อำนาจในปี 2005 ซาอุดีอาระเบียได้เข้าสู่ขั้นตอนการปฏิรูปที่เน้นการเป็นสายกลางอีกครั้งหนึ่ง
พระองค์ให้การยอมรับระบบกฎหมายและภายใต้การปกครองของพระองค์ซาอุดีอาระเบียได้เข้าร่วมกับองค์การการค้าโลก (World Trade Qrganization)
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ภาพทางสังคม-เศรษฐกิจในซาอุดีอาระเบียก็ยังคงค่อนข้างจะซึมเซาอยู่
คนหนุ่มว่างงาน มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในหมู่แรงงานต่างชาติ มีความหวาดกลัวเกี่ยวกับฝ่ายสุดโต่งกับฝ่ายที่ขับเคลื่อนความทันสมัย ทั้งสองกระแสต่างก็สร้างความไร้เอกภาพให้แก่ประเทศ
ด้วยเหตุนี้ในการทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซาอุดีอาระเบียจึงต้องมีการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์อันยาวนานซึ่งจะทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการเปลี่ยนผ่านที่ประเทศต้องเผชิญตลอดขวบปีที่ผ่านมา
กษัตริย์สัลมาน อิบนุ อับดุล อะซีส (Salman ibn Abdul al-Aziz) ซึ่งเข้าสู่อำนาจในปี 2015 ได้แต่งตั้งโอรสของพระองค์ มุฮัมมัด อิบนุ สัลมาน (Muhammad ibn Salman) หรือที่เรียกกัน MBS ขึ้นมาเป็นมกุฎราชกุมาร (Crown Prince) เมื่อฤดูร้อนของปี 2017 ขึ้นมา
เป็นการแต่งตั้งเพื่อให้โอรสของพระองค์เข้ามาแทนที่มกุฎราชกุมาร นาญีฟ อัล-สะอูด (Nayef al-Saud)
เหตุผลสำคัญที่พระองค์เปลี่ยนเอาโอรสของพระองค์เข้ามาแทนมกุฎราชกุมารนาญีฟก็ด้วยความเชื่อที่ว่าโอรสของพระองค์มีความสามารถที่จะจัดการแก้ปัญหาของประเทศและดูแลคนหนุ่มที่มีความอึดอัดต่อราชอาณาจักรได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม คนส่วนมากมีความเชื่อว่าความคิดที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังการเข้ามามีอำนาจของเจ้าชายมุฮัมมัด บินสัลมาน นั้นอยู่ที่ว่าเจ้าชายนาญีฟเป็นผู้ขัดขวางการตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์ และตั้งข้อสงสัยการเข้าทำสงครามตัวแทนในซีเรียและเยเมนของซาอุดีอาระเบีย ทั้งสองประการนี้มกุฎราชกุมารองค์ใหม่ล้วนเป็นผู้ให้การสนับสนุนทั้งสิ้น
ขั้นตอนการหันมาทำให้ซาอุดีอาระเบียทันสมัยโดยทันทีทั้งในทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกษัตริย์สัลมานคือความมุ่งหวังที่จะทำให้อำนาจของพระองค์มีความมั่นคงกว่าเดิมและสามารถเอาชนะฝ่ายต่อต้านที่จะเข้ามาในหนทางของพระองค์ได้
ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้นจึงกลายมาเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของซาอุดีอาระเบียอย่างไม่ต้องสงสัย