พระกริ่งหลักชัย ต้นตำรับ ‘เจ้าคุณศรี’ วัดสุทัศนเทพวราราม

พระกริ่งเก่าแบบหนึ่งที่ในสมัยก่อนมักเรียกกันว่า “พระกริ่งอุบาเก็ง” เป็นพระกริ่งที่พบในประเทศกัมพูชา ที่เขาพนมบาเก็ง ที่ในประเทศไทยก็พบบ้างเหมือนกัน แต่พบไม่มากนัก

ความเป็นมาของพระกริ่งบาเก็ง ว่ากันว่า คนจีนคงจะสร้างมาบรรจุไว้ที่เขาพนมบาเก็ง เนื่องจากศิลปะของพระกริ่งเป็นแบบศิลปะจีน ซึ่งแตกต่างจากศิลปะของขอม

อย่างไรก็ตาม พระกริ่งรูปแบบพระกริ่งบาเก็งนอก ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ ได้ถอดแบบสร้างไว้เช่นกัน สร้างไว้หลายรุ่น

“พระมงคลราชมุนี” (สนธิ์ ยติธโร) หรือที่ผู้คนส่วนใหญ่เรียกขานในสมณศักดิ์เดิมว่า “ท่านเจ้าคุณศรี” (สนธิ์) เป็นศิษย์ในสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม

สร้างวัตถุมงคลพระเครื่อง และพระกริ่งรุ่นต่างๆ ไว้หลายรุ่น ล้วนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) ถอดพิมพ์จากพระกริ่งบาเก็งนอกมาสร้าง สังเกตรูปแบบองค์พระ เหมือนกับพระกริ่งบาเก็งนอก กรรมวิธีการสร้างล้วนแต่พิถีพิถันมาก ตามแบบของพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ สร้างโดยมีส่วนผสมของเงินบัวยันต์ คือ เงินกลมหรือเงินพดด้วงของเก่า ซึ่งเลือกเอาเฉพาะอันที่ตอกตราดอกบัวและตรายันต์เท่านั้น

 

พระกริ่งบาเก็งรุ่น 1 นั้น ท่านเจ้าคุณศรีฯ ตั้งชื่อว่า “พระกริ่งหลักชัย” สร้างเมื่อวันที่ 29 มหราคม 2487 โดยอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (แพ) เป็นองค์ประธานด้วย ในการผสมเนื้อโลหะ ใช้ชนวนโลหะพระกริ่งรุ่นเก่าๆ ของสมเด็จพระสังฆราชมาผสมกับเงินบัวยันต์ จำนวนที่เทมีทั้งสิ้น 162 องค์ การบรรจุเม็ดกริ่งแบบกริ่งในตัว 2 รู วรรณะของเนื้อในแดงออกชมพูกลับเทาขึ้นประกายเงิน

พระกริ่งรุ่นนี้ มีบางองค์ตอกโค้ดมีไส้ และโค้ดไม่มีไส้ ใต้ฐานลงเหล็กจารโดยท่านเจ้าคุณศรีฯ

ในปีเดียวกัน ยังมีพระกริ่งบาเก็งของท่านเจ้าคุณศรีฯ สร้างอีกครั้ง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2487 สร้างจำนวน 202 องค์ พิมพ์เดียวกับพระกริ่งรุ่น 1 เนื้อหาก็คล้ายกับรุ่น 1 มาก เพราะใช้ทองชนวนที่เหลือจากการเทรุ่นแรกมาเท แต่ตกแต่งที่ใต้ฐานเพื่อให้แยกออกได้ง่ายขึ้น คือมีการปาดใต้ฐานเว้าเข้าไปที่ด้านหลังเล็กน้อย เป็นที่สังเกตในการแยกรุ่นได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นก็ยังมีการเทพระกริ่งบาเก็งโดยท่านเจ้าคุณศรีฯ อีกหลายรุ่น

จึงกล่าวได้ว่า พระกริ่งบาเก็งของท่านเจ้าคุณศรีฯ มีดีที่ลักษณะองค์พระ ซึ่งมีขนาดกะทัดรัด กรรมวิธีการสร้างดี เนื้อหาโลหะเข้มข้น

พระกริ่งหลักชัย

นามเดิม สนธิ์ พงศ์กระวี เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2446 ที่ ต.บ้านป่าหวาย กิ่ง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายสุขและนาง ทองดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 11 คน

อายุ 11 ขวบ บิดาถึงแก่กรรม มารดาจึงนำมาฝากไว้กับพระภิกษุบุญ (หลวงตาบุญ) ซึ่งเป็นญาติที่วัดสุทัศนเทพวราราม คณะ 15 เพื่อให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม ตามคตินิยมที่เล่าเรียนกันในยุคนั้น คือ เริ่มเรียนบาลีไวยากรณ์

อายุ 13 ปี บรรพชาโดยมีพระมงคลราชมุนี (ผึ่ง ปุปฺผโก) เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณ ฐานานุกรมในพระพรหมมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์

ศึกษาพระปริยัติธรรมจนถึงเดือนเมษายน 2459 ย้ายไปอยู่ที่วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ในความปกครองของพระพุทธิวิถีนายก เจ้าคณะจังหวัดนครปฐมขณะนั้น

จนถึง พ.ศ.2460 จึงย้ายกลับมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ ตามเดิม

พ.ศ.2464 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี

พ.ศ.2465 สอบได้นักธรรมชั้นโท

พ.ศ.2466 เข้าพิธีอุปสมบท โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (แพ ติสฺสเทโว) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพรหมมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระมงคลราชมุนี (ผึ่ง ปุปฺผโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระพิมลธรรม (นาค สุมนนาโค) เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพเวที และยังอยู่ที่วัดสุทัศน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับนามฉายาว่า ยติธโร

พระมงคลราชมุนี (สนธ์ ยติธโร)

พ.ศ.2468 สอบเปรียญธรรมได้ 4 ประโยค พร้อมทั้งได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมรักขิต ฐานานุกรมในสมเด็จพระพุฒาจารย์

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2469 เวลาประมาณ 04.00 น.เศษ ประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ถูกคนวิกลจริตฟันด้วยมีดตอก ได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่ง

ผลจากการถูกทำร้ายอย่างสาหัสในคราวนั้น ทำให้อาพาธหนักไปประมาณ 3 เดือน เมื่อหายแล้วจึงกลับคืนอยู่ที่วัดสุทัศน์ตามเดิม และเมื่อมาถึงได้ขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) ทรงรับสั่งว่า “อ๋อ! มหาสนธิ์ เธอหายดีแล้วหรือ” แล้วท่านก็รับสั่งเรียกให้เข้าไปใกล้ ทรงจับศีรษะไว้แล้วทรงเป่าให้ 3 ครั้ง พร้อมกับทรงรับสั่งต่อไปอีกว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่มีอะไรอีกแล้ว”

พ.ศ.2474 สอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค

รับตำแหน่งฐานานุกรมต่างๆ ตามลำดับ พร้อมกับได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ รวมทั้งโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา ฯลฯ

 

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2481 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีสัจจญาณมุนี

วันที่ 8 ธันวาคม 2493 ได้เลื่อนจากตำแหน่งพระราชาคณะสามัญ ขึ้นเป็นพระราชาคณะเสมอชั้นราชที่ พระมงคลราชมุนี

เป็นผู้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ หลายแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) พระอุปัชฌาย์ ทรงประสาทศิลปวิทยาการ คือ ตำรับและพิธีกรรมการสร้างพระพุทธรูปและพระกริ่ง ให้จนหมดสิ้น

สืบสานพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ในเวลาต่อมาอย่างถูกต้องตามตำราทุกประการ

เมื่อว่างในด้านปริยัติศึกษา กลับเพิ่มภารกิจในหน้าที่พระเกจิอาจารย์ ได้รับนิมนต์ให้ไปประกอบพิธีกรรมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งต้องนั่งปรกเข้าพิธีสวดพุทธาภิเษก ไปจนกว่าจะได้ฤกษ์เททอง

การประกอบพิธีเช่นนี้แต่ละครั้งทำให้สุขภาพค่อยๆ เสื่อมทรุดลงทุกที

ท้ายที่สุด เมื่ออาการอาพาธกำเริบ ทรุดหนัก จนสุดที่คณะแพทย์จะเยียวยา

คืนวันที่ 16 มกราคม 2495 เวลา 21.20 น. จึงมรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ •

 

โฟกัสพระเครื่อง | โคมคำ

[email protected]