ส่องโปรไฟล์ แกะเบื้องหลัง “เศรษฐา 1” | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

คณะรัฐมนตรี “เศรษฐา 1” ภายใต้การนำธงของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” ผ่านขั้นตอนสำคัญไปเรียบร้อยแล้ว คือ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 2 กันยายน และทั้ง 34 คนเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันอังคารที่ 5 กันยายน เพื่อน้อมนำกระแสพระราชดำรัส มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความตั้งใจต่อไป ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 161

“นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” เคาะเรียกประชุมอย่างไม่เป็นทางการ “นัดพิเศษ” โดยพลันที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 กันยายน เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำนโยบายที่จะบริหารประเทศชาติแถลงต่อรัฐสภา

ตามช่องทางมาตรา 161 ที่ระบุว่า คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันเข้ารับหน้าที่ หรือหลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณตน จึงเป็นอันเรียบร้อยบริบูรณ์ “ครม.นิดหนึ่ง” สามารถกดปุ่มเปิดประชุมอย่างเป็นทางการได้ในวันอังคารถัดไป

ส่องโปรไฟล์ แกะเบื้องหลัง คณะรัฐมนตรีล็อตแรก จำนวน 34 คน ก่อนนำรายชื่อทูลเกล้าฯ ข่าวคลุกวงในระบุว่า มี 4 รายด้วยกัน ต้องเช็กคุณสมบัติป้องกันความชัวร์ ผ่านหวิว 2 ราย ชิงถอนตัวกลางอากาศ 1 คนคือ “นายพิชิต ชื่นบาน” ที่ถูกวางตัวให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ค่ายเพื่อไทย ลำกล้องอักเสบ หลุดเฟรมไป 1 ราย

ครม.ชุดใหม่ เป็นรัฐบาลผสม มีหน้าเก่า หรือ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” บุญหล่นทับมาจากรัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ชุดสุดท้าย จำนวน 8 คนด้วยกัน ประกอบด้วย 1. “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นรองนายกรัฐมนตรี 2. “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” จากรองนายกฯ-รมว.สาธารณสุข เป็นรองนายกฯ-รมว.มหาดไทย 3. “นายวราวุธ ศิลปอาชา” จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็น รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 4. “นายอนุชา นาคาศัย” จาก รมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์

5. นายทรงศักดิ์ ทองศรี” จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อยู่ในตำแหน่งเดิม รมช.มหาดไทย 6. “นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เป็น รมว.แรงงาน 7. “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จาก รมว.อุตสาหกรรม เป็น รมว.คมนาคม 8. “นายสันติ พร้อมพัฒน์” จาก รมช.คลัง เป็น รมช.สาธารณสุข

ที่เหลือ 26 ชีวิต มีทั้งประเภทเพิ่งเปิดซิง มือใหม่หัดขับ และมวยเจนสังเวียน คละเคล้ากันไป หล่อ สมาร์ต มีตำหนิ ดูขี้เหร่ เป็นไปตามกลไก ข้อบังคับของรัฐบาลผสม ที่มาจากหลายพรรคสังกัด

ย้อนกลับไปที่-ตามไปดู “พี่น้อง 3 ป.” ที่ประกอบด้วย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” น้องเล็ก-พี่ใหญ่-น้องรอง จากจุดสตาร์ต ด้วยก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 กับศูนย์อำนาจ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” หรือ “คสช.” สวมบทราหูอมจันทร์ มืดมิดมา 9 ปีเต็ม

“พี่น้อง 3 ป.” รักกันปานจะกลืน แต่กับศึกเลือกตั้งใหญ่ 2566 “แก้วร้าว” เมื่อ “ป.ประยุทธ์” กับ “ป.ประวิตร” ตัดสินใจแยกกันเดิน คนหนึ่งแยกวงไปก่อตั้งพรรคใหม่ชื่อรวมไทยสร้างชาติ คนหนึ่งอยู่ที่เก่าพลังประชารัฐ

เลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ผลแพ้หลุดลุ่ย กางเกงหลุด ดูไม่จืดด้วยกันทั้งคู่ “พรรคผู้พี่” ได้ 40 ที่นั่ง แค่ 1 บัญชีรายชื่อ “ผู้น้อง” ได้ 36 เสียง บุญมากาไก่กลายเป็นหงส์ บุญลงหงส์กลายเป็นกาไก่

เหนือสิ่งอื่นใด มีข่าวว่า ในศึกเลือกตั้งคาบนี้ มี “บางพรรค” ระดมทุนไม่เข้าเป้า กลุ่มทุนที่รับปากว่าจะให้เงินสนับสนุน พากัน “ชักดาบ” ผิดกับเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 ที่ใครต่อใครต่างจัดหนัก จ่ายกันมือระวิง เป็นที่โจษขานต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ว่าใช้เงินมากที่สุด

แต่เลือกตั้ง 2566 ต่างกันลิบลับ กระสุนฝืดจัด “บางคน” จำใจต้องขอดเกล็ด งัดสมบัติที่ซุกไว้ตามก้นหีบ มีมือดีปล่อยข่าวว่า “หมดตูด” ไปสี่ซ้าห้าพันล้าน ไม่มากไม่น้อยเลยทีเดียว

ที่ทารุณ-โหดร้ายที่สุด คือ คืนก่อนโหวต “เศรษฐา ทวีสิน” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และผ่านฉลุย 482 เสียง และปรากฏว่า “ส.ว.สายบิ๊กตู่” พร้อมใจกันหันมาเทคะแนนให้ “เสี่ยนิด” มากถึง 152 เสียง

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีคนไปขอบิณฑบาตแล้วว่า ให้แสดงจุดยืนเดิม งดออกเสียง หรือ “ไม่เห็นด้วย” เหมือนกับที่เคยใช้ประโยชน์ตอนโหวตครั้งที่ 1 คว่ำ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ให้ติดกับดักมาตรา 272 แต้มไม่ถึง 376 เสียง ม่อยกระรอก ให้ดูชมมาก่อนหน้านี้แล้ว

กรณีที่โหวตครั้งที่ 2 “เศรษฐา” ตกม้าตายตาม “พิธา” ครั้นจะเปลี่ยนม้าทำศึก ส่ง “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หรือ “ชัยเกษม นิติสิริ” ก็ต้องจบข่าวเป็นหนังม้วนเดิม คือไม่ผ่าน 376 เสียง ตำแหน่งนายกฯ จะเป็นมรดกตกทอดไปสู่พรรคลำดับถัดไป คือ “ภูมิใจไทย” ซึ่งใครต่อใครเชื่อว่า “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” คงไม่กล้ารับเผือกร้อน สุดท้ายลูกกลมๆ จะไหลไปสู่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” บัญชีรายชื่อหนึ่งเดียวจากพลังประชารัฐที่มี ส.ส.อยู่ในสังกัด 40 ที่นั่ง

แต่กลายเป็นว่า “ส.ว.สายลุงตู่” สวมบทหลวงพ่อดับฝัน หันเทคะแนนให้ “เศรษฐา” ถล่มทลาย ใครบางคนจึงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกควักหัวใจ เลยประกาศตัดญาติขาดมิตรกับ “บิ๊กตู่” ส่วนจะตายไม่เผาเงาไม่เหยียบกันด้วยหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันตอนต่อไป

ในบรรดา “พี่น้อง 3 ป.” คนที่สบายใจเฉิบมากที่สุด คงไม่แคล้ว “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” น้องรอง เพราะรู้จัก “ปล่อยวางเป็น” ประกาศวางมือทางการเมืองตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งใหญ่

“ประเมินตัวเองแล้ว อายุเยอะแล้ว คนที่มีความรู้ความสามารถ มีความตั้งอกตั้งใจที่อายุยังน้อยมีเยอะ เราไม่เหมาะ ตั้งใจว่าจะพิจารณาตัวเอง ผมไม่ไปทางการเมือง”

เมื่อไม่ปรากฏตัวก็ไม่มีใครเห็น ไม่มัวเมา ลุ่มหลง ก็ไม่เห็นโทษ “บิ๊กป๊อก” เลยสบายกว่าใครเยอะเลย