เก่าไป “ใหม่มา” ระวัง “แขกไม่รับเชิญ” | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

1. “เก่าไป”

ในที่สุด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ยึดอำนาจ โค่นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มาเมื่อปี 2557 เปิดเพลงมาร์ช “ขอเวลาอีกไม่นาน” แค่ใบไม้ไหว 9 ปีเท่านั้นเอง แต่ลาภ ยศ มีทรุดมีเสื่อม เป็นสิ่งไม่เที่ยงในหมู่มนุษย์ ไม่จีรังยั่งยืน แปรปรวนไปตามกาลเวลา

วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2566 ประวัติศาสตร์ต้องจารึกชื่อไว้ “พล.อ.ประยุทธ์” ลงจากหลังเสืออย่างเป็นทางการเรียบโร้ยแล้ว คณะรัฐมนตรีมีการประชุมกันเป็น “นัดสั่งลา” ยุติบทบาททางการเมืองของ “ลุงตู่-บิ๊กตู่” คนคนเดียวกับ “พล.อ.ประยุทธ์”

พร้อม “ปิดตำนาน 3 ป.” ที่ยังประกอบไปด้วย “พี่ใหญ่-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” และ “น้องรอง-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ลงโดยบริบูรณ์ แต่ไม่ราบรื่น เรียบกริ๊บเหมือน “ขามา”

เพราะมีข่าวว่า ตอนสถานการณ์กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ลงมติเลือกบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คืนหมาหอน ก่อนวันที่ 22 สิงหาคม ที่รัฐสภา โหวตเลือก “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย จะทะยานเข้าป้ายดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ด้วยเสียงท่วมท้นล้นเหลือ 482 เสียงจากที่ประชุมรัฐสภา หรือสองสภารวมกัน

มีใครบางคนฝันกลางวัน ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ว่าตัวเองขี่เรือเหาะ กลับชาติเกิดใหม่ และได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี กรณีที่การโหวตในรอบที่ 2 และ “เศรษฐา ทวีสิน” ชนปังตอ เดดสะมอเร่ ดุจเดียวกับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล

10 พรรคร่วมฟอร์มรัฐบาล ที่มี “เพื่อไทย+ภูมิใจไทย” เป็นข้าวต้มมัด มีเสียงรวมกันได้เพียง 314 เสียง ไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงเหล็ก กึ่งหนึ่งของสองสภารวมกันคือ 376 เสียง หาก “สภาสูง” หรือ ส.ว.แสดงจุดยืนเดิม อีหรอบเดียวกับครั้งที่ 1 ที่ลงมติเลือก “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จึงมีนักเลงดีเพียรพยายามให้ ส.ว.มัดแพ็กเกจให้เหนียวแน่นแบบเดิม

“มุขแป้ก” แปลว่า “ส.ว.สายบิ๊กตู่” ไม่รับข้อเสนอดังกล่าว ผลโหวตเลยออกมาถล่มทลาย ยิ่งกว่าแลนด์สไลด์ 482 เสียง ที่เจ็บปวดยิ่งกว่ากล่องดวงใจโดนหวดด้วยไม้หน้าสาม คือ ส.ว.สายลุงทำเนียบ ส่วนใหญ่เฮไปเทเสียง “เห็นชอบ” ให้ “เศรษฐา” เป็นนายกฯ มากถึง 152 เสียง ขณะที่ “ส.ว.สายบ้านป่าฯ” ของ “ลุงป้อม” หนักไปทางไม่เห็นชอบ และงดออกเสียง

นี่คือปฐมเหตุให้ “พี่น้อง 3 ป.” ที่ประกอบด้วย “ป.ป้อม-ป.ป๊อก-ป.ประยุทธ์” ที่ห่วงใยกันดั่งพี่น้องร่วมสายโลหิต ร่วมทุกข์ร่วมสุข รู้ไส้รู้พุง รู้ความลับ จึงปิดตำนาน จบดีลกันไม่สู้จะดีสักเท่าไหร่

วันประชุมคณะรัฐมนตรี “นัดสั่งลา” จึงมีข่าวลือว่า “พี่ใหญ่ประวิตร” ยังฉุนไม่หาย ทอดกาย นอนผายลมอยู่บ้านป่าฯ ไม่มาร่วมประชุม

2. “ใหม่มา”

สะเด็ดน้ำแล้วเช่นเดียวกัน คณะรัฐมนตรี “เศรษฐา 1” ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย เต็มรัฐนาวา 35 ชีวิต แบ่งเค้กกันลงตัว ราบรื่น เรียงตามลำดับไหล่ “พรรคเพื่อไทย” 18 ตำแหน่ง “ภูมิใจไทย” 8 เก้าอี้ กับสูตร 4+4 คือ “ว่าการ” 4 ที่นั่ง และ “รมช.” 4 ตำแหน่ง “พลังประชารัฐ” กับ “รวมไทยสร้างชาติ” 2+2 พรรคละ 4 ที่นั่ง ที่เหลือ “ชาติไทยพัฒนา” กะ “ประชาชาติ” พรรคละ 1 ว่าการ ขณะที่พรรคปลาซิว ปลาสร้อย บริโภค “แห้ว”

หลายตำแหน่ง “เศรษฐา 1” กระชากกระแส “เมาธ์ทูเมาธ์” ได้ “ปัง” มากๆ ระดับเสือทลายห้าง ช้างทลายโรง ระเบิดฟอร์มเทพตั้งแต่ไก่โห่ รายแรก “น้ำบาน” ก่อนใครเพื่อนคือ “พิชิต ชื่นบาน” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เข้ามาดูแลกฎหมาย โดยเตะ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ที่ถูกวางตัวไว้เดิมพ้นขอบจอไปอย่างเหลือเชื่อ

“พิชิต” เจอบุญเก่าตามหลอกหลอน กับปมเคยหิ้วถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาทไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาล ระหว่างพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาล

มือกฎหมายหลายสำนักเลยพากันตั้งข้อสังเกตว่า “พิชิต” น่าจะเข้าข่ายคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าตัวรีบออกมาแก้ต่างโดยพลันแล้วว่า ไม่ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามแต่ประการใด เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น 2 ปี ตนก็ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และได้เป็น ส.ส.มาแล้ว เมื่อปี 2554-2556 และในปี 2562 ยังเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ เพียงแต่พรรคถูกยุบไปก่อน

คนที่สอง คือ “สุทิน คลังแสง” ดาวดังของสภาผู้แทนราษฎร อดีตครูเก่า ที่ข้ามห้วยไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกมองว่า แต่งตั้งผิดฝั่งผิดฝา การไปคุม 3 เหล่าทัพ ไม่ง่าย เพราะทหารมีกฎเกณฑ์ กติกา วินัย สั่งการ-ควบคุม กำกับการตามระบบ ต่างจากพลเรือน

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า “สุทิน” จะฝืนประเพณีอะไร ก่อนหน้านี้ก็เคยมีพลเรือนไปนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาก่อนแล้ว ประกอบด้วย “นายชวน หลีกภัย-นายสมัคร สุนทรเวช-นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์-และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

แต่ 4 พลเรือนข้างต้นไปว่าการในฐานะรักษาการ โดยมีหัวโขนนายกรัฐมนตรีติดมือเป็นเกราะกำบังไปด้วย ขณะที่ “นายสุทิน คลังแสง” ไม่มีกันชนใดป้องกันแรงกระแทก จึงได้แต่ภาวนา สาธุว่า ให้ลูกช้างเอาตัวรอดปลอยภัยกับการนั่งเก้าอี้ที่ไม่ถนัดตัวนี้

3. “แขกไม่รับเชิญ”

การฟอร์มรัฐบาล “เศรษฐา 1” ภายใต้เงื่อนไขจำกัดของ “เศรษฐา ทวีสิน” ผู้นำรัฐนาวา แต่ดูเหมือนว่า จะถูกพรรคร่วมบีบจนหน้าซีดหน้าเซียว โฉมหน้ารัฐมนตรีออกมาไม่ตรงปก หลายตำแหน่งถูกตำหนิ เอาใครมาทำงานก็ไม่รู้ พรรคต้นสังกัดส่งเข้าประกวด ตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะไปแก้ไขดัดแปลง

เซียนการเมืองหลายสำนักจึงพากันฟันธงตรงกันว่า “แขกไม่รับเชิญ” คนสำคัญยังไม่สูญพันธุ์ น่าจะกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง กับการ “ปฏิวัติรัฐประหารครั้งที่ 15”

“ครั้งที่ 13” นำโดย “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” โค่นล้มรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อ 19 กันยายน 2549

“ครั้งที่ 14” นำโดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” รัฐประหารรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557

“ครั้งที่ 15” ดูหน้าตา ครม.แล้ว เชื่อว่าน่าจะชาตินี้ มากกว่าชาติหน้า