อย่าดูถูกไดโนเสาร์ | เหยี่ยวถลาลม

ความขัดแย้งทางความคิดและการต่อสู้ทางการเมืองบางครั้งอาจดูสงบนิ่ง ไม่ปรากฏร่องรอยความเคลื่อนไหว แต่ก็คล้ายกับคลื่นใต้น้ำ แต่บางยามที่มีลมกระพือโหม ความคุกรุ่นก็จะลุกโชนร้อนแรง และเมื่อลมแผ่วลงหรือลมเปลี่ยนทิศก็จะค่อยๆ มอดดับลง

จะมีบ้างเป็นบางครั้ง ที่ปะทุกัมปนาทเป็นสงคราม เช่น ในประวัติศาสตร์ที่เกิด “กบฏบวรเดช” ขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ปีเดียว หรืออย่างสงครามระหว่างรัฐบาลไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่ห้ำหั่นกันอยู่หลายทศวรรษ

ในสังคมไทย ความขัดแย้งทางความคิดและการต่อสู้ทางการเมืองดำเนินมาตั้งแต่ “ก่อน” มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 ระหว่างสายหนึ่งที่ต้องการ “ความคงที่” รักษาสิ่งเดิมๆ เอาไว้ไม่ให้แตะ ไม่ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง กับอีกสายหนึ่งที่ต้องการ “รื้อ” ปรับปรุงใหม่ ให้ทันสมัย ไม่เหลื่อมล้ำแตกต่างกันเกินไป เช่น “ฟ้า” กับ “เหว”

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้ภาพที่ปรากฏจะดูว่า “คณะราษฎร” มีชัยชนะ แต่ก็เพียงปีเดียวเท่านั้น “ปรีดี พนมยงค์” ผู้นำความเปลี่ยนแปลงสายพลเรือนก็ถูกวาดภาพแต้มสีให้เป็น “ปีศาจ” ถูกสาดโคลนให้เป็น “คอมมิวนิสต์”

ตุลาคม 2476 กำลังรบที่เรียกตัวเองว่า “คณะกู้บ้านเมือง” ภายใต้การนำของ “พระองค์เจ้าบวรเดช” จึงเคลื่อนพลเข้าล้อมพระนครเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบใหม่

แม้ “สงคราม” จะจบลงที่ฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชกลายเป็น “กบฏ” แต่การต่อสู้ทางความคิดและการเมืองในเวลาต่อมาก็เดินทางถึงจุดที่ “สิ้นสุดทางเลื่อน” -ไม่มีปรีดี -ไม่มีคณะราษฎร

ลัทธิใหม่ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นคือ เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย “อำนาจรัฐ” มาจากกระบอกปืน ไม่ใช่จาก “คูหาเลือกตั้ง”!

 

รัฐไทยตั้งแต่ยุคจอมพล ป. ที่มี “สฤษดิ์ ธนะรัชต์” และ “เผ่า ศรียานนท์” เป็นมือซ้ายมือขวา ใช้คำว่า “คอมมิวนิสต์” ปราบปรามผู้มีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างจนกลายเป็น “แนวทางหลัก” ที่ใช้กันมาไม่น้อยกว่า 3 ทศวรรษ กระทั่งความผิดพลาดนั้นนำไปสู่ “สงครามประชาชน” ระหว่างชาวบ้าน (กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย) กับลูกหลานไทย (ทหารของรัฐบาล)

หลังปี 2530 ที่ภัยคอมมิวนิสต์ยุติลง “ความขัดแย้งทางความคิด” และ “การต่อสู้ทางการเมือง” ก็ไม่ได้หมดไป

“ทหาร” ยังคงเป็นผู้นำทางการเมือง ยึดอำนาจรัฐด้วย “อาวุธ”

กฎหมายอาญา “มาตรา 113” ไม่เคยถูกบังคับใช้ คนผิดลอยนวล คนปกติที่ต่อต้านรัฐประหารถูกกลั่นแกล้งรังแก จับกุมคุมขัง

และทุกครั้งที่ความขัดแย้งปะทุขึ้น รัฐไทยก็ยังคงใช้วิธีเดิมๆ ด้วยกลยุทธ์ทำลาย ใส่ร้ายป้ายสี ปลุกระดมผู้คนอีกฝั่งให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้า โหมไฟ จุดชนวน ก่อจลาจล สร้างความโกลาหลปูทางสู่การปราบปราม แล้วก็ “รัฐประหาร”

พรรคการเมืองสายพันธุ์ทักษิณล้วนแต่ประสบชะตากรรม!

 

เมื่อ 20 ปีก่อน “ทักษิณ” ยังอายุ 50 ต้นๆ เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่คิดใหม่ทำใหม่แตกต่างไปจากนักการเมืองน้ำเน่ารุ่นเก่าๆ “ทักษิณ” จึงนำพาพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ชนะเลือกตั้ง ทุบทำลายสถิติ สร้างประวัติศาสตร์เป็นพรรคเดียวที่ได้เสียงข้างมากเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมีที่นั่ง ส.ส.เกินครึ่งของสภา

ความทันสมัย ฉลาดหลักแหลม เฉียบคมฉับไวของ “ทักษิณ” เป็นที่อิจฉาริษยาและน่าสะพรึงของชนชั้นสูง กลุ่มทุน กองทัพ และพรรคการเมืองคู่แข่ง

การเมืองไทยไม่ได้มีความซับซ้อน…นโยบายที่เอาใจประชาชนมากเกินไป (ถูกเรียกว่า ประชานิยม) นโยบายที่ลดทอนความสุข ความสะดวกสบาย เฉือนงบฯ ของกองทัพ ถูกนับว่าเป็น “ภัย” ถ้าเมื่อใดรวบรวมเหตุทั้งหลายได้สมบูรณ์ สุกงอมก็ใช้เป็น “ข้ออ้าง” ทำรัฐประหารได้

คำถามที่ไม่เคยมีคำตอบจาก “ระบบยุติธรรมไทย” คือกฎหมายอาญา “มาตรา 113” ซึ่งมีโทษร้ายแรง 2 สถานเท่านั้น คือ “ประหารชีวิต” หรือ “จำคุกตลอดชีวิต” ทำไม “นายทหารยศสูง” ทั้ง ผบ.ทบ., ผบ.ทอ. และ ผบ.ทร. จึงกล้าลงมือ

“สถาบัน” พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชน กลับ “สั่งยุบ” กันง่ายดาย!

ยุบพรรคไทยรักไทย ยุบพรรคพลังประชาชน ก็เกิดเป็น “เพื่อไทย” ภายหลังมาพร้อมกับใส่สีตีไข่ว่า “หัวใจคือประชาชน” เนื่องจากเป็นที่ปรากฏว่าตั้งแต่ปี 2551, 2552, 2553 จนถึง 2557 เรื่อยมา “คนเสื้อแดง” ซึ่งเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ของพรรคการเมืองสายพันธุ์ทักษิณ ถูกปราบปรามอย่างรุนแรงต่อเนื่อง

ร้ายแรงที่สุดก็ระหว่าง “10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553” ถูกล้อมปราบด้วยอาวุธสงครามและใช้ “สไนเปอร์” ส่องยิงด้วยไรเฟิล

เรียกกันว่า “คดี 99 ศพ” ยังไม่จบจนถึงวันนี้!

 

หากแต่ตอนนี้ พ.ศ.2566 บริบทการเมืองเปลี่ยนไป

“เพื่อไทย” รู้ เพื่อไทยเห็น เพื่อไทยเล่นเป็นเพราะมีประสบการณ์

ในการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 “เพื่อไทย” จึงประกาศ ขอประชาชนเทเสียงให้ชนิด “แลนด์สไลด์”

หากแต่สถานการณ์พลิกผัน!!

ผู้ผ่านศึกสงครามชำนาญการยุทธ์ย่อมเข้าใจตรงกันว่า “สภาพ” ของสงครามที่ผ่านการวิเคราะห์อย่างรอบด้านจะกำหนด “แผน” ของสงคราม

ในสถานการณ์ที่ “ปกติ” จะใช้ “แผนไม่ปกติ” ไม่ได้

เช่นเดียวกัน ในสถานการณ์ที่ “ไม่ปกติ” ก็ไม่สามารถจะนำเอา “แผนปกติ” มาใช้

ผิดคาดที่ “ก้าวไกล” ได้ที่นั่ง ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 และเพื่อไทยได้ที่นั่ง ส.ส.เป็นอันดับ 2

ส่วน “รวมไทยสร้างชาติ” ของลุงตู่ กับ “พลังประชารัฐ” ของลุงป้อม พรรค “2 ลุง” มีสภาพเหมือน “กุ้งฝอย”

แต่อย่าลืมว่าทั้ง 2 ลุงมี “250 ส.ว.” อยู่ในมือ

“ส.ว.” ไม่โหวตให้ก็ยากที่ “ก้าวไกล” หรือ “เพื่อไทย” จะได้เก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

“กุ้งฝอย” พากันหัวร่ออย่างเริงร่า!

ถ้าอยากจะได้ “อำนาจรัฐ” ไม่กลับบ้านมือเปล่า “เพื่อไทย” ก็ต้องเริ่ม “บทที่ 1” ของการต่อสู้ทางการเมืองกับ “ก้าวไกล” เสียตั้งแต่วันนี้

“เศรษฐา 1” ไม่ใช่ “รัฐบาลในฝัน”

แต่เป็น “รัฐบาลในโลกที่เป็นจริง”

คนที่อ้างถึง “14.5 ล้านเสียง” เลือกพรรคก้าวไกลนั้น เป็นคนที่ “ฝันไป”

จากนี้จะต้องอยู่ใน “โลกที่เป็นจริง”

“ก้าวไกล” กับ “เพื่อไทย” เป็นคู่ต่อสู้ทางการเมือง

ใครนะเขียนไว้… “ไดโนเสาร์” ดำรงเผ่าพันธุ์ครองโลกได้นานถึง 150 ล้านปี เพิ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปี แต่มนุษย์หรือโฮโมซาเปียนส์ เพิ่งกำเนิดบนโลกได้เพียง 3-4 แสนปีเท่านั้น!?!!