อกหักรักคุด ‘เพื่อไทย’ บนทางสายเปลี่ยว | เหยี่ยวถลาลม

“ตระบัดสัตย์” คำนี้ไม่ถูกนำมาใช้ในแวดวงการเมืองมานานพอสมควร

วันที่ 8 ธันวาคม 2556 “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คนที่เป็น ผบ.ทบ.ขณะนั้นให้สัมภาษณ์ว่า “ถ้าทหารปฏิวัติอีก เป็นการแก้ปัญหาผิดทาง ปัญหาอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นอีก ประเทศไทยจะยืนอยู่ในสังคมโลกอย่างไร”

แต่ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 “ประยุทธ์” คนที่เป็น ผบ.ทบ. สถาปนาเป็น “หัวหน้า คสช.” พาทหารก่อการรัฐประหาร แล้วรักษาการนายกรัฐมนตรีตั้งแต่นั้นจนกระทั่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งขึ้นมาเอง “โหวต” ให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ในวันที่ 24 สิงหาคม 2557

ตอนที่ “คสช.” ลดปากกระบอกปืนลงนั้น อ้างว่า “ไม่สืบทอดอำนาจ” พร้อมกับจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2562

แท้จริงแล้วการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นแค่เพียง “ฉาก” ประกอบการแสดงให้โลกได้เห็น

แผนทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เช่น สร้างพรรคการเมืองขึ้นมาด้วย “การดูด” เอานักการเมืองมารวมกัน พร้อมเฉดหัวพวกที่ไม่เอาใจผู้มีอำนาจ ออกแบบรัฐธรรมนูญที่ให้ “หัวหน้า คสช.” แต่งตั้ง “ส.ว.” 250 คน เอาไว้สำหรับ “ยกมือโหวต” ให้ความเห็นชอบ “นายกรัฐมนตรี” หลังเลือกตั้ง

เก็บปืนได้แล้วทุกอย่างเดินไปตามแผน

ส.ว.ทั้ง 250 คน ยกมือโหวตให้อย่างพร้อมเพรียง “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หัวหน้า คสช.ได้กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” รอบที่สอง

ที่ “หัวหน้า คสช.” เคยประกาศว่า “ขอเวลาไม่นาน” นั้น ใครจะว่าตระบัดสัตย์ ไม่รักษาคำมั่นสัญญาก็ช่างหัวมัน

“ประยุทธ์” เล่นตลกทู้ซี้อยู่นานจนผู้คน “เบื่อ” ถึงขีดสุด!

“เบื่อถึงขีดสุด” มิใช่คำกล่าวหากันลอยๆ

ความเสื่อมของ คสช.ถูกนำเป็นจุดขายของฝ่าย “ไม่เอาลุง”

 

ผลเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 จึงได้ปรากฏ “ฝ่าย ป-ประยุทธ์ กับ ป-ป้อม” ได้คะแนนมหาชนรวมกัน 5.2 ล้านเสียง ในขณะที่ “ก้าวไกลกับเพื่อไทย” ซึ่งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างเข้มข้นทุกที่ทุกเวทีว่า “มีเรา-ไม่มีลุง” ได้คะแนนมหาชนรวมกันถึง 25.4 ล้านเสียง หรือมากกว่าประมาณ 5 เท่า

แต่แม้ว่า “เสียง” จากประชาชนจะชี้ทิศบอกทางของความต้องการ ผลพวงของรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่เหมือนเนื้อร้ายก็คือ กติกาเพื่อสืบทอดอำนาจ ที่ “คสช.” ได้จัดวางกลไกและแต่งตั้งคนเอาไว้ให้ใช้กฎหมายแทนอาวุธ

อย่างน้อยๆ การเลือกตั้งภายหลังรัฐประหาร 2 ครั้งนั้น “นายกรัฐมนตรี” จะต้องมาจาก “มือ” ของ “ส.ว.” 250 คน

“ส.ส.” ที่ประชาชนเลือกมา มีสถานะเป็นเพียงใบไม้ใบหญ้าประดับอยู่ในแจกันเผด็จการ!

“เพื่อไทย” ซึ่งทันเกมจึงรณรงค์ขอให้พี่น้องประชาชนเทคะแนน “แลนด์สไลด์”

แต่ผลเลือกตั้ง “ก้าวไกล” มาเป็นอันดับ 1 และ “เพื่อไทย” มาเป็นอันดับ 2

“ฉากแรก” จึงมีอาการ “จำใจ” ต้องจับมือกับพรรคการเมืองที่เรียกว่า “8 พรรคร่วม” ได้เสียง ส.ส.รวมกัน 312 คน

มีบางคนถึงกับเปรียบว่า ถูกคลุมถุงชน

และแล้วเมื่อสภาเปิดวาระ “โหวต” เลือกนายกรัฐมนตรี “ส.ว.” ก็ตั้งแผงเรียงหน้ากันไม่ยกมือให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตจากพรรคก้าวไกล

สถานะที่เหมือน “กับดัก” ของ ส.ว.นั้นไม่ได้เหนือความคาดหมาย

แกนนำบางกลุ่มใน “เพื่อไทย” ที่เก๋าเกมย่อมสามารถอ่านทะลุไปถึงหลังฉากละครที่โหวตนายกรัฐมนตรีของรัฐสภา

หลังจากนั้น “หมอชลน่าน” จึงได้ออกมาบอกว่า แท้จริงแล้ว ขั้วรัฐบาลเดิม 9 พรรค “188 เสียง” นั้นเป็นพรรคใหญ่กว่า 151 ของพรรคก้าวไกล และ 141 ของพรรคเพื่อไทย

ในพริบตาทัวร์ก็ลง “ชลน่าน”!

แปลความจากการเมืองวิบัติได้ว่า พรรคอันดับ 1 ตัวจริงคือ ส.ว. 250 คนที่ คสช.แต่งตั้งเอาไว้

อันดับ 2 คือ 188 เสียงขั้วอำนาจเก่าของ “2 ลุง” ที่พ่ายแพ้เลือกตั้งครั้งนี้อย่างราบคาบ

ส่วนที่ “เจตจำนง” ประชาชนต้องการให้เป็นฝ่ายรัฐบาล เช่น “ก้าวไกล” 151 เสียง นั้นเป็นอันดับ 3 กับ “เพื่อไทย” 141 เสียง เป็นอันดับที่ 4

ไม่ทราบว่าเชื่อมโยงกับตรรกะแบบนี้หรือไม่ หลังจากนั้นพรรคเพื่อไทยได้ “ตัดสินใจทางการเมือง” ครั้งสำคัญ

นั่นคือตัดสินใจสลัดทิ้ง “ก้าวไกล” พร้อมบอกเลิกเอ็มโอยู 8 พรรคร่วมที่เป็น “ประกายไฟ” แห่งความหวังของฝ่ายที่ “เบื่อลุงถึงขีดสุด”

“เพื่อไทย” อ้างว่าพรรคการเมืองในขั้วอำนาจเก่า (ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามของเพื่อไทยและก้าวไกล) “ไม่เอาก้าวไกล”

 

การตัดสินใจทางการเมืองที่พลิกเปลี่ยนขั้วชนิดกลับตาลปัตรทำให้คนเสื้อแดงหรือแฟนคลับส่วนใหญ่รับไม่ได้

คำปราศรัยหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง คำพูดของผู้นำพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยในระหว่างการรณรงค์หาเสียงถูกขุดขึ้นมาตั้งคำถามด้วยอารมณ์ที่แตกต่างไปจากการ “เบื่อลุง”

ตั้งแต่พรรคการเมืองสายพันธุ์ทักษิณถือกำเนิดขึ้น ชนะเลือกตั้งท่วมท้นทุกครั้ง จนฝ่ายตรงข้ามปัดหมุดไล่ล่า ทำลาย ยุบพรรค “มวลชน” ไม่เคยประสบกับการสะบั้นรักหักอกในเชิงอุดมการณ์จากพรรคการเมืองที่สนับสนุน

การตระบัดสัตย์ของ “เพื่อไทย” ครั้งนี้จึงก่อให้เกิดอาการอกหักรักคุด!

ประเมินกันว่า “เพื่อไทย” อาจถึงจุดจบ

หรือว่าแท้จริงแล้วผู้ใหญ่ของเพื่อไทยบางกลุ่มกำลัง “ตั้งใจ” จะจบภารกิจ

ไม่เป็นหัวหอกในการต่อสู้ทางการเมืองอีกต่อไป ไม่ว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลังไม่เป็นธรรม การปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปด้านพลังงาน ปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และทำลายการผูกขาดของทุนใหญ่

เพียงแค่หวังจะได้มาซึ่ง “อำนาจรัฐ” โดยเฉพาะเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” จึงขอคะแนนชนิด “แลนด์สไลด์”

แต่เมื่อไม่เป็นไปตามแผน ก็ต้องหงายไพ่ใบสุดท้าย

แม้ว่าเสียง “ไม่เอาลุง” จะชี้บอก “ทิศทาง” ของความต้องการมวลชน แต่ภายใต้กติกาวันนี้ ยังไม่อนุญาตให้เสียงของประชาชนเป็น “เสียงสวรรค์”

ไม่แลนด์สไลด์ก็สู้เสียงโหวตของ “ส.ว.” กับพรรคฝ่ายตรงข้ามไม่ได้

ตัดสินใจยอมสูญเสียฐานมวลชนคนเสื้อแดงบางส่วน เข้าร่วมเป็นพวกเดียวกับ “ฝ่ายตรงกันข้าม” จัดตั้งรัฐบาลขั้วเดิม เพิ่มเติม “เพื่อไทย”!?!!!