อนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ ของ ‘อาจารย์นิธิ’

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

 

อนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่

ของ ‘อาจารย์นิธิ’

 

สําหรับผู้ที่มีอายุร่วมสมัยกับผม คงพอนึกออกว่าโจทย์ที่ยากยิ่งประการหนึ่งสำหรับช่วงเวลาที่เราเป็นวัยรุ่นและกำลังจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เราจะเลือกเรียนวิชาอะไรซึ่งเชื่อมโยงไปถึงคำถามที่สองว่าเราจะประกอบวิชาชีพอะไรในวันข้างหน้าด้วย

ต้องไม่ลืมว่าในสมัยที่ผมเรียนจบชั้นมัธยมนั้น เป็นเวลาเมื่อ 50 ปีก่อน จอมพลถนอม กิตติขจร ยังเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนเตรียมทหารกระมัง เมืองไทยในเวลานั้นแตกต่างกับเมืองไทยเวลานี้มากพอสมควร

กล่าวโดยเฉพาะถึงการเลือกประกอบอาชีพ ผมทบทวนความทรงจำแล้วนึกได้ว่าในเวลานั้นอาชีพอิสระแทบไม่มีใครนึกถึงเลย ราชการยังคงเป็นอาชีพหลักที่หลายคนหมายปอง ธุรกิจภาคเอกชนก็ยังไม่ใหญ่มหึมาเท่ากับทุกวันนี้ ในขณะที่จำนวนประชากรที่เรียนจบชั้นมัธยมในแต่ละปีมีมากกว่าสมัยนี้ตั้งเป็นก่ายเป็นกอง ที่นั่งเรียนในมหาวิทยาลัยมีจำกัด ตำแหน่งงานที่รองรับเมื่อเรียนจบแล้วมีไม่มาก

โดยพื้นฐานแล้วผมเป็นคนที่สนใจเรื่องของภาษาไทย ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมหรืออะไรทำนองนี้มาแต่เดิม มีสตางค์ค่าขนมเหลือในแต่ละสัปดาห์ก็เก็บหอมรอมริบไว้สำหรับซื้อหนังสือมาอ่านในวันเสาร์อาทิตย์

หนังสือที่เลือกซื้อก็หนีไม่พ้นประชุมพงศาวดารหรือสาส์นสมเด็จที่มีขายอยู่ที่ร้านดาราภัณฑ์บริเวณท้องฟ้าจำลองปากซอยหน้าบ้าน

ทำอย่างนี้มาหลายปีตลอดเวลาที่เรียนชั้นมัธยม จนต้องเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัยและตัดสินใจว่าจะเรียนอะไรดี

ในที่สุดก็เลือกเรียนวิชากฎหมาย แทนที่จะเลือกเรียนวิชาโบราณคดี ประวัติศาสตร์หรืออักษรศาสตร์ ด้วยความเข้าใจเอาเองว่าชั่วๆ ดีๆ ก็เป็นทนายความหรือผู้พิพากษา อัยการไป เห็นจะพอเอาตัวรอดได้

แต่อีกห้าหกปีผ่านไป เรื่องก็โอละพ่อ เพราะผมตัดสินใจที่จะเลือกประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมาย เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าความเป็นอิสระในวิชาชีพ

 

ตามความเข้าใจเบื้องต้นของผมแล้ว จะมีอาชีพอะไรอีกเล่าที่เขาอนุญาตให้เราอ่านหนังสือได้แบบไม่รู้จบ อ่านแล้วก็ไปคิดตรึกตรอง แล้วมาเล่าขยายความให้คนอื่นฟังอีกทอดหนึ่ง

อยู่ไปอยู่มาเขาก็ส่งเสริมให้เรากำเริบเขียนหนังสือของเราเองบ้าง หนังสือผลงานทางวิชาการที่เราเขียนนี้ก็ไม่ควรลอกคนอื่นตะพึดตะพือ เพราะแบบนั้นขายหน้าตายไป เราต้องวิเคราะห์วิจารณ์และนำเสนออะไรแปลกใหม่บ้าง จึงจะพอสมน้ำสมเนื้อ

ความรู้ทั้งหลายในศาสตร์ต่างๆ บรรดามีในโลกนี้งอกงามเจริญเติบโตมาได้ก็เพราะว่ามีคนช่วยกันคิดต่อยอด ค้นคว้าบุกเบิกของใหม่ไปเรื่อยๆ

ในที่สุดผมก็เลือกอาชีพเป็นครูสอนกฎหมาย และได้อยู่ในอาชีพนี้ยั่งยืนมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว

แต่ละปี ผมมีลูกศิษย์ลูกหาที่ได้สอนหนังสือกันแบบจริงจังไม่ใช่การบรรยายสั้นๆ เพียงสองสามชั่วโมงในหลักสูตรต่างๆ เป็นจำนวนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 300 คน นับรวมจำนวนก่อนเข้าก็ได้เกินหมื่นไปมากพอสมควร

ผมได้พูดได้เขียน ได้แสดงความคิดเห็นในช่องทางต่างๆ บนพื้นฐานของวิชาชีพกฎหมายที่ผมร่ำเรียนมา ได้สั่งสมประสบการณ์มาตลอดชีวิตอยู่เสมอแม้จนทุกวันนี้

ถ้าจะให้ผมให้คะแนนประเมินตัวเอง ผมคิดว่าผมคงไม่สอบตกหรอกนะครับ

ส่วนจะให้ได้ดิบดีถึงคะแนนชั้นเกียรตินิยมนั้น ผมแน่ใจว่าผมยังไปไม่ถึง

นิธิ เ​อี​ยว​ศรี​วงศ์

ครูหรืออาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยที่เป็นบุคคลในอุดมคติของผมและผมแน่ใจว่าท่านทำได้ดีกว่าผมอีกล้นเหลือยังมีอีกหลายท่าน

ท่านหนึ่งในจำนวนนั้นเพิ่งเดินทางไกลจากโลกนี้ไป

ใช่ครับ ผมหมายถึงศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่คนไทยจำนวนมากเคยอ่านหนังสือของท่าน อ่านคอลัมน์ของท่านในมติชนสุดสัปดาห์และนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ต่างๆ เคยฟังท่านพูดจาให้ความคิดให้สติ ให้มุมมองที่เปี่ยมด้วยปัญญากับเมืองไทยของเรามาช้านาน และน่าเสียดายเป็นที่สุดที่วันนี้ท่านไม่อาจสร้างผลงานเพิ่มเติมขึ้นได้อีกแล้ว

ในบรรดาผลงานของอาจารย์นิธินับเฉพาะที่เป็นหนังสือ ผมเชื่อว่ามีจำนวนมากมายเกินกว่าที่ผมจะขานชื่อได้ครบถ้วน และผมก็เป็นคนอ่อนด้อยที่ไม่ได้อ่านงานของอาจารย์ได้ครบทุกเล่มเสียด้วย

แต่ในบรรดางานของอาจารย์ที่ผมได้อ่านและจับใจมากเป็นที่สุด คือหนังสือเรื่องการเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่อาจารย์ได้กรุณานำข้อมูลจากหลากหลายแหล่งมาประกอบกันเข้ากับข้อวิเคราะห์ที่เป็นมุมมองของอาจารย์ แล้วนำเสนอประเด็นที่ผมไม่เคยมองเห็นมาก่อน

 

หนังสือเล่มนี้ทำให้คนอ่านอย่างผมได้มองย้อนเวลาเข้าไปในประวัติศาสตร์ด้วยความเข้าใจที่เปิดกว้างขึ้นกว่าเดิม

ได้เห็นความเป็นมนุษย์ของบุคคลต่างๆ ที่โลดแล่นอยู่ในกาลเวลาที่ผ่านเลยแล้วในอดีต “มนุษย์” ที่มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว มีความคาดหวัง มีข้อจำกัด และเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้อยู่โดยลำพัง หากแต่อยู่ร่วมกันกับมนุษย์อื่นอีกจำนวนมาก

การทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นและอาจารย์ได้นำเสนอในหนังสือชั้นครูเล่มนี้ อาจารย์ใช้หลักวิชาทางประวัติศาสตร์ที่อาจารย์ได้ศึกษามาตลอดชีวิตเป็นเทียนส่องนำทาง ทำให้คนอ่านที่เดินตามอาจารย์ไปบนบรรทัดที่มีตัวอักษรเรียงรายอยู่ได้พลอยสนุก และได้ปัญญารู้คิดไปพร้อมกันด้วย

สำหรับผมเอง หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือเล่มสำคัญที่คนรักประวัติศาสตร์ และโดยเฉพาะยิ่งคนที่บอกว่าตัวเองเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ ไม่อาจละเลยได้เป็นอันขาด

ด้วยหนังสือเล่มนี้เพียงเล่มเดียว ในสายตาของผม อาจารย์นิธิก็ได้กลายเป็นบรมครูของวิชาประวัติศาสตร์ไปแล้วอย่างปราศจากข้อสงสัย

และถ้าได้มีโอกาสไปอ่านหนังสืออีกหลายเล่มของอาจารย์ ที่อาจารย์ได้แสดงข้อมูล แสดงความรู้ แสดงทัศนะเกี่ยวกับเมืองไทยและสังคมไทย ด้วยวิธีเขียน วิธีพูดและสายตาที่เป็นธรรมมานานหลายสิบปี ด้วยวิธีการอันละมุนละม่อมที่อาจารย์ไม่ได้สั่งให้คนอื่นเชื่อ แต่อาจารย์ชวนให้คนอื่นคิด

 

ผมไม่แปลกใจเลยที่ในค่ำคืนของวันที่อาจารย์จากโลกนี้ไป คำกล่าวอำลาด้วยความอาลัยรักและแสนเสียดายในบุคลากรคุณภาพท่านนี้ปรากฏขึ้นในทุกช่องทางที่เข้าสู่ความรับรู้ของผม

ไม่ว่าจะเป็นข่าวออนไลน์ของสำนักข่าวต่างๆ ไลน์ที่ส่งข้อมูลข่าวสารกันกลุ่มต่างๆ Facebook ที่มีข้อความแสดงความรู้สึกในใจของคนจำนวนมากที่มีต่อการสูญเสียครั้งสำคัญของวงวิชาการครั้งนี้

น่าคิดนะครับว่า ตลอดชีวิตของอาจารย์นิธิ อาจารย์ไม่เคยเป็นผู้บริหารใหญ่โต ถึงเมื่ออาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยมาตลอด แต่อาจารย์ก็ไม่เคยเป็นอธิการบดี ไม่เคยเป็นแม้กระทั่งคณบดีเสียด้วยซ้ำ หากแต่อาจารย์เป็นนักวิชาการที่ซื่อสัตย์ต่อความเป็นนักวิชาการของตัวเอง

อาจารย์ทำหน้าที่เป็นผู้ให้สติปัญญากับคนเป็นลูกศิษย์ และเผื่อแผ่เจือจานไปถึงคนอื่นในวงกว้างโดยช่องทางที่อาจารย์ทำได้

อาจารย์ไม่เคยอยู่ในฐานะที่เป็นคนตัดสินใจให้สองขั้นหรือเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งให้กับใครได้

แต่สิ่งที่อาจารย์มอบให้กับคนอื่นนั้นมีค่ายิ่งกว่านั้นอีกมาก

เพราะอาจารย์มอบ “ปัญญารู้คิด” ให้กับคนหมู่มากแบบไม่กลัวหมดเปลือง อาจารย์ทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนตลอดชีวิต

ในตอนบ่ายวันที่อาจารย์จากพวกเราไป ผมเขียนกลอนสองบทฝากไว้ใน Facebook ของผม ความว่า

ชื่อของอาจารย์แปลความว่าขุมทรัพย์

สำหรับคนได้ใช้ไปนานเนื่อง

เป็นชีวิตที่ไม่เปล่าประโยชน์เปลือง

แต่ประเทืองปัญญาค่าอนรรฆ

จึงเมื่อคราวอาจารย์อำลาโลก

ความเศร้าโศกจึงรู้สึกนึกประจักษ์

ผลงานจักประดับโลกอีกนานนัก

เปรียบเช่นหลักอนุสาวรีย์มีไว้เอย

อนุสาวรีย์ของอาจารย์นิธิยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ