กระชับวงล้อม สไนเปอร์ ‘ก้าวไกล’

เหยี่ยวถลาลม

 

กระชับวงล้อม

สไนเปอร์ ‘ก้าวไกล’

 

อย่าได้คาดหมายว่าการเลือกตั้งภายหลังรัฐประหารของ “คสช.” จะ “เป็นธรรม”

“250 เสียง” ของ ส.ว.ที่รัฐธรรมนูญวางกับดักเอาไว้นั้นเปรียบเหมือน “พรรคเสียงข้างมาก” ในรัฐสภาที่แทบจะไม่จำเป็นต้องอาศัยฉันทานุมัติจาก “เจ้าของอำนาจอธิปไตย”

หลังเลือกตั้งทุกครั้ง เพียงแค่กลุ่มอำนาจเก่ารวม ส.ส.ให้ได้ 126 คน เก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ก็ไม่มีทางหลุดไปเป็นของฝ่ายตรงข้าม

หลังจาก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตหัวหน้า คสช.ครองอำนาจนาน 5 ปี จัดให้มีการเลือกตั้งครั้งแรกในวันที่ 24 มีนาคม 2562

คราวนั้น “เพื่อไทย” เป็นเป้าหมายเลข 1 ถูกกีดกันด้วยสารพัดวิธีจนถึงขั้นไม่มี “ส.ส.ประเภทบัญชีรายชื่อ” แม้แต่คนเดียว

แต่ “เพื่อไทย” ก็ชนะเลือกตั้งมาเป็นพรรคอันดับ 1 ได้ ส.ส.เขต 136 ที่นั่ง

“พลังประชารัฐ” ที่จัดตั้งกันขึ้นมาเพื่อสนับสนุน “ประยุทธ์” ได้ ส.ส. 116 ที่นั่ง เป็นพรรคอันดับ 2

ขณะที่ “อันดับ 3″ พรรคอนาคตใหม่” ที่มี ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ พรรณิการ์ นำขบวน ได้ ส.ส. 81 ที่นั่ง กลายเป็น “ปีศาจตัวใหม่” สำหรับฝ่ายขวา

เลือกตั้งครั้งนั้น “เพื่อไทย” ได้ลิ้มรสผู้สูญเสียโอกาสในการ “มี” และ “ใช้” อำนาจรัฐเพราะถูก “พลังประชารัฐ” พรรคอันดับ 2 ตัดหน้าช่วงชิง “อำนาจรัฐ” ไป โดยมี “250 ส.ส.” ยกมือโหวตให้ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตผู้นำรัฐประหารกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

 

วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เลือกตั้งครั้ง 2 หลังรัฐประหาร คสช.

“250 เสียง” ของ ส.ว.สารตั้งต้นของ “ระบอบ 3 ป.” ก็ยังอยู่!

เพียงแต่เลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 นั้นผิดไปจากความคาดหมายของทุกฝ่ายคือ เสียงของประชาชน “เลือกข้าง” แรงเกินไป!

“ฝ่ายค้านเดิม” หรือที่รวมกันแล้วเรียกว่า “8 พรรคร่วม” ได้รับคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตหรือจากบัญชีรายชื่อถึง 27 ล้านเสียง

ขณะที่ “ฝ่ายรัฐบาลเดิม” มีแค่ 7.6 ล้านเสียง

ห่างกันหลายเท่าตัว!

ชี้ชัดว่าผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่เอา “ขั้วเดิม”

แต่ 8 พรรครวมกันได้ 312 เสียง แม้จะเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ก็ใช่ว่าจะได้ “อำนาจรัฐ” ไป

อย่าลืมว่าที่นี่คือประเทศไทย

ในทันทีที่พรรคก้าวไกล กลายเป็นพรรคอันดับ 1 และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทุกกลไกของระบอบเก่าก็เคลื่อนไหวถาโถมปฏิบัติการ

“เสียงประชาชน” หรือผลการเลือกตั้งไม่มีความหมายให้ต้องพะวักพะวง ไม่ต้องมีหิริ-โอตตัปปะ เดินหน้าเล่นกันตรงๆ ทุบทำลายกันดื้อๆ อย่างไร้ยางอาย

ทำให้ “ก้าวไกล” ยืนโดดเดี่ยวกลางสมรภูมิ!

ปกติแล้ววิธีทำลายแบบนี้จะใช้กับข้าศึกหรืออริราชศัตรู

แต่อย่าลืมว่าที่นี่ประเทศไทย “คนเห็นต่าง” เหมือนไม่ใช่ “คน”

ทบทวนประวัติศาสตร์ที่มิอาจลืมกันอีกครั้ง

 

ก่อนจะถอนรากถอนโคนขบวนการนิสิตนักศึกษาในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พระกิตติวุฑโฒ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ราชวรมหาวิหาร เคยให้สัมภาษณ์ถึงการฆ่าฝ่ายซ้ายว่า “อันนั้นอาตมาก็เห็นว่า ควรจะทำ คนไทยแม้จะนับถือพุทธก็ควรจะทำ แต่ก็ไม่ใช่ถือว่าเป็นการฆ่าคน เพราะว่าใครก็ตามที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันไม่ใช่คนสมบูรณ์ คือต้องตั้งใจว่าเราไม่ได้ฆ่าคน แต่ฆ่ามาร ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน”

ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย” ซึ่งเป็นงานวิจัยของคริส เบเคอร์ และผาสุก พงษ์ไพจิตร (สำนักพิมพ์มติชน จัดพิมพ์) ได้บรรยายเอาไว้อย่างน่าสะพรึงว่า …เช้าตรู่วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ถึงขั้นยิงจรวด ปืน และมิสไซล์ต่อต้านรถถังเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พอนักศึกษาแตกหนีออกมาก็ถูกทำร้ายอย่างทารุณ ถูกกระทำชำเรา และถูกเผาทั้งเป็นนอกรั้วมหาวิทยาลัย

ใครมือเปื้อนเลือด 6 ตุลาคม 2519 ไม่เคยได้คำตอบ?

เมื่อคราวที่สมคบคิดกันกำจัด “ทักษิณ” ครั้งใหญ่ในปี 2553 ก่อนจะลงเอยด้วยการประกาศใช้ “กระสุนจริง” และ “สไนเปอร์” ส่องยิงคนเสื้อแดงที่ชุมนุมด้วยใจภักดิ์รักทักษิณ ก็ใช้ “ผังล้มเจ้า” ทำร้ายป้ายสี

จนถึงวันนี้ “ผู้บงการ” และ “ฆาตกร” มือเปื้อนเลือดยังไม่ถูกชำระความ!

จำได้ว่า พล.อ.อดุล อุบล (เตรียมทหาร รุ่น 11) อดีต ผบ.พล 9 ผู้ริเริ่มบุกเบิกให้มี “พลซุ่มยิง” หรือ “สไนเปอร์” ขึ้นในกองทัพบก ยังทนอดสูกับปฏิบัติการของกองทัพในปี 2553 ไม่ได้ จนถึงกับเขียนเอาไว้ว่า

“…ก่อนเหตุการณ์ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 ผมไม่เคยได้รับทราบมาก่อนว่า มีกองทัพของประเทศใดในโลกประชาธิปไตยที่นำกำลังทหารออกมาสลายมวลชน รวมทั้งมีการใช้ ‘พลซุ่มยิง’ สังหารประชาชน…อย่าว่าแต่ใช้พลซุ่มยิงกับมวลชนเลย แม้แต่การใช้ทหารถืออาวุธสงครามออกมาปราบปรามประชาชนก็ไม่เคยมีอยู่ในหัวสมอง”

การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงด้วยกำลังรบ อาวุธสงคราม และสไนเปอร์ ระหว่างเมษายน-พฤษภาคม 2553 เกิดจาก “สมอง” ของใคร!?

 

กลับมาที่ “เลือกตั้งมีนาคม 2562” ที่มี “ปีศาจตัวใหม่” ได้ปรากฏ

ในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น พรรคการเมืองสถาบันหนึ่งที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยถูกบดขยี้อีกครั้ง

ยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัดสิทธิทางการเมือง “ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์” และกรรมการบริหารพรรค

ก่อเกิดเป็น “ก้าวไกล” ที่วันนี้มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ชูธง

เลือกตั้งครั้งที่ 2 ภายหลังรัฐประหารของ คสช. ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 “ระบอบ 3 ป.” สั่นสะเทือนหนักที่สุด

ผลเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ชี้ว่า ขั้วอำนาจเก่าตกต่ำเสื่อมโทรมสุดๆ มีคะแนนนิยมอยู่เพียง 7.67 ล้านเสียง

เสียงจากเจ้าของอำนาจอธิปไตย “27 ล้านเสียง” สะท้อนผ่านการเลือกตั้งชี้ชัดว่า ต้องการให้เครือข่ายรัฐประหารถอยไป พร้อมกับให้ “ก้าวไกล” ที่มี 14.43 ล้านเสียง และ “เพื่อไทย” ที่มี 10.96 ล้านเสียงเป็นรัฐบาล

แต่ “250 เสียง” ของ ส.ว. ยังหนักแน่นมั่นคงในเป้าหมาย

นโยบายที่ “ก้าวไกล” จะแก้ไข ป.อาญา ม.112 ถูกหยิบขึ้นเป็นเครื่องมือโจมตีในทำนองเดียวกับ “ผังล้มเจ้า”

ทุกกลไกในเครือข่ายรัฐประหารพร้อมใจกันเคลื่อนทัพเข้าขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลที่ “ก้าวไกล” เป็นแกนนำ

แยกสลายนักการเมืองที่อวดโอ่ว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยไปพร้อมๆ กับโดดเดี่ยวและทุบทำลาย “ก้าวไกล”!?!!