คุยเรื่อง ‘สงครามสีกากี’ กับ ‘ปวีณ พงศ์สิรินทร์’ ผมมองไม่เห็นทางออก!

หมายเหตุ รายการ “เอ็กซ์-อ๊อก talk ทุกเรื่อง” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี สัมภาษณ์ “พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ในประเด็นว่าด้วยความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นี่คือเนื้อหาบางส่วนจากบทสนทนาดังกล่าว

 

: ขณะนี้เกิด “สงครามสีกากี” ในแวดวงตำรวจบ้านเรา ที่มาของปัญหาคืออะไร?

ปัญหาที่บอกว่าเป็นปัญหาสำคัญมากๆ และเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก แล้วก็เป็นเรื่องที่พูดกันทั่วทั้งสังคมของประเทศไทยในเวลานี้ ทำให้ผมต้องมาออกรายการในวันนี้ ผมขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ไอ้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุ ณ ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันเป็นผลจากการกระทำในอดีตที่ผ่านมา

ถ้าในอดีตทำแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ชอบธรรมไว้ ผลบั้นปลายที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันก็จะเป็นสิ่งที่ดี คนก็จะยกย่องสรรเสริญในสิ่งที่ทำความดีเอาไว้

แต่ถ้าปรากฏว่าปัจจุบันมันเป็นสิ่งที่ประจานความล้มเหลว ความเหลวแหลกขององค์กร นั่นคือการกระทำที่สั่งสมมายาวนานในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง วันนี้มันก็ได้ประจักษ์ให้เห็นทุกอย่างแล้วว่า มันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ผมจะบอกเลยว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ ปัจจุบันนี้ ก็คือซากปรักหักพัง ที่คนผู้มารับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กระทำไว้คนแล้วคนเล่า ยุคแล้วยุคเล่า แม้กระทั่งในยุคของผม ก็มีสัญญาณลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว

ขณะนั้น สื่อต่างๆ ก็รุมประณาม รุมถล่ม วิพากษ์วิจารณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติในทางที่เสียๆ หายๆ มากมาย วันนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นมาจึงไม่ประหลาดใจอะไร

: ถ้ามองว่าปัญหาขณะนี้คือปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง แล้วภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำมันคืออะไร?

องค์ประกอบหลายๆ ด้านมันรุมล้อมทุกอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ตรงนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้คนที่มาเป็นผู้นำองค์กรเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และคำนึงถึงความปลอดภัยของสังคมและประชาชนคนไทยจริงๆ

แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมา การคัดสรรบุคคลต่างๆ ที่มาดำรงตำแหน่งผู้นำองค์กรไม่ได้สนองตอบตามเป้าหมายในส่วนนี้ แต่คัดสรรคนที่สนองตอบต่ออำนาจของผู้ที่ต้องการไขว่คว้าอำนาจในประเทศไทยมาเป็นผู้นำ

เมื่อเขาได้มาเป็นผู้นำขององค์กร แทนที่จะนำองค์กรเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เขาก็นำเอาองค์กรไปสนองรับใช้ผู้มีอำนาจ ในการทำลายคู่แข่ง และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เพื่อตนเองและคนที่มีอำนาจ

ผลแห่งการกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย ทุกยุคทุกสมัย คือในยุคของผมก็เลวร้ายมาก แต่ ณ ปัจจุบันยิ่งชัดเจน ประจักษ์ต่อสายตาคนไทยทั้งประเทศ

 

: ต้นเหตุคือการแต่งตั้งนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชา?

แน่นอนเลยครับ ว่าตั้งแต่คนที่มาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้บัญชาการต่างๆ ทุกระดับของระดับชั้นนายพล หรือระดับผู้กำกับการหัวหน้าสถานี มันไม่ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ

มันเกิดจากการวิ่งเต้นมาโดยตลอด มีการซื้อขายตำแหน่งอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คำสั่งแล้วคำสั่งเล่า ปีแล้วปีเล่า

 

: เป็นเรื่องจริงใช่ไหม ในสิ่งที่เราเคยได้ยินมาว่า ถ้านายตำรวจจะขึ้นตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ ต้อง…กี่กิโล ต้อง…เท่าน้ำหนักตัว?

ไม่ผิดไปจากที่ได้ยินมาหรอกครับ สมัยผมเป็นตำรวจอยู่ก็ได้ยินเพื่อนตำรวจมาเล่าให้ฟังอย่างนี้ตลอด รู้ว่าไอ้นี่วิ่งยังไง ใครเป็นนักวิ่ง เติบโตมายังไง มีฝีมือมากน้อยขนาดไหน ทุ่มเทให้การทำงานจริงจังขนาดไหน หรือเป็นแค่สร้างภาพ นักวิ่งจึงเยอะแยะไปหมด แล้วจะทำงานไปเพื่ออะไร ตังค์ก็ไม่ได้ ก้าวหน้าก็ไม่ก้าวหน้า นายยังเกลียดอีก

หลายๆ คนแทนที่จะสนองตอบต่อพี่น้องประชาชนหรือสังคม เขาไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรเลย สู้มีตำแหน่งดีกว่า แล้วสื่อมวลชนก็จะเอาไมค์ไปจ่อไปถาม กลายเป็นฮีโร่ แต่ไม่เคยสนใจเลยว่าที่ไปที่มาเป็นอย่างไร

เหมือน ณ ปัจจุบัน คนที่มีตำแหน่งใหญ่โตระดับผู้นำขององค์กร สื่อก็ไม่สงสัย คนนี้มาอย่างไร ยังมีคนมาแก้ตัวอีก เขาก็มาตามกระบวนการ ผมอยากจะบอกว่ากระบวนการอะไรของคุณ คุณข้ามหัวเขามาเท่าไหร่

แล้วเขาบอกเขามาตามกฎกติกา กติกาของคุณน่ะสิ เอาเปรียบเพื่อนตลอดเลย เขาบอกพอครบก็ได้ขึ้น แล้วมันสมควรได้ขึ้นไหม จริงๆ ไม่สมควรได้ขึ้นเลย ก็เอาคนนี้ขึ้นมา ขึ้นมา ขึ้นมา

พอขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นแผงอย่างนี้ทั่วทั้งประเทศ แล้วมันจะไปเหลืออะไร จะเหลือพื้นที่ให้คนที่มีความรู้ความสามารถมากน้อยขนาดไหน แล้วสังคมก็ยังไปชื่นชมเขาอีกว่าเป็นฮีโร่ เป็นคนในดวงใจ ผมไม่โทษคนไทย แต่เนื่องจากว่าสื่อไปให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ โดยไม่ขุดคุ้ยว่าเขาเติบโตมาอย่างไร

อาชีพแต่ละอาชีพกว่าจะสั่งสมประสบการณ์ได้มากน้อยขนาดไหน ก็คือการทำงาน ทำแล้วทำเล่า ฝึกฝนแล้วฝึกฝนเล่า ทำคดีแล้วคดีอีก เติบโตตั้งแต่ชั้นเล็กๆ ที่ผมเขียนหนังสือก็อยากจะสะท้อนให้เห็นว่า กว่าจะลับจนกระทั่งเราแหลมคมได้ ใช้เวลาบ่มเพาะเป็นสิบๆ ปี

ไม่ใช่ว่าพรวดพราดจาก พ.ต.ท. เป็น พล.ต.อ. ในระยะเวลาแค่หกปี อันนี้ไม่ใช่แล้วครับ

 

: เรายังมีความหวังที่จะทลายภูเขาน้ำแข็งลูกนี้ได้อยู่หรือไม่?

ถ้าองค์ประกอบปัจจุบัน ณ ขณะนี้ มองไม่เห็นทาง

ตั้งแต่รัฐบาล ผู้รับผิดชอบ แล้วสังคมยังเป็นอยู่อย่างนี้

ยากมาก

 

: ถ้าสมมุติคุณปวีณเป็นคนที่มีอำนาจในการบริหารจัดการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สิ่งแรกที่อยากจะทำคืออะไร?

ผมจะเริ่มอย่างนี้เลยครับ นายพลทุกคน นายพันทุกคนจะต้องสแกน (เปิดเผย-ชี้แจง) ที่ไปที่มาของเงินทุกบาททุกสตางค์ ว่าคุณได้มาจากไหน ทั้งตระกูลเลย รับรอง จะไล่ตำรวจออกได้เกินครึ่ง เอาง่ายๆ

ปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตคือเงิน เหมือนผมมาอยู่ออสเตรเลีย ถ้าผมมีเงินผมก็สบาย แต่ผมยังไม่สบาย เพราะผมต้องทำงานๆ ทุกวัน เพื่อหาเงิน

ทีนี้ พอมาเป็นตำรวจก็อยากหาเงินทั้งนั้นแหละครับ อยากได้เงิน ก็เลยมีเงินเยอะแยะหมดเลย แล้วคุณได้มายังไง ไล่ไปทีเดียว ตอบไม่ได้เสร็จเลย อย่ามาอ้างว่าเมียรวย

เจอมาเยอะแล้ว ไอ้สูตรเมียรวยนี่มันฟอกเงินทั้งนั้นเลย