ทักษิณกลับไทย อวสานเพื่อไทยมาไวกว่าที่คิด | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์

กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์www.facebook.com/bintokrit

ช่วงสายๆ ของวันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2566 “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และเป็นลูกสาวคนสุดท้องของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความอวยพรวันเกิดครบรอบ 74 ปีให้กับพ่อบังเกิดเกล้า แต่ความสนใจของมหาชนกลับไม่ได้อยู่ที่วันเกิดเลย แต่กลับกลายไปสนใจประเด็นเรื่องการเดินทางกลับประเทศไทยของทักษิณมากกว่า

ในโพสต์ดังกล่าวนั้น อุ๊งอิ๊งเขียนเอาไว้ว่า

26 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญของลูกเสมอ แต่ปีนี้ลูกยังไม่อยากเชื่อตัวเอง ในสิ่งที่ลูกกำลังจะพิมพ์ พ่อจะกลับมาแล้ว วันที่ 10 สิงหาคมนี้ ที่สนามบินดอนเมือง

17 วันเกิดที่ต่างประเทศของพ่อ ลูกพลาดไปแค่ 2 ครั้ง ถ้ารวมครั้งปีนี้คือครั้งที่ 3 เพราะต้องเตรียมหลายอย่างที่เมืองไทย ใจของลูกและทุกคนในครอบครัวเราหนักอึ้ง ทั้งดีใจ ทั้งเป็นห่วง แต่ก็เคารพการตัดสินใจของพ่อเสมอ ลูกขอให้บุญรักษานะคะ ให้พ่อของลูกแข็งแรงปลอดภัย ได้มาส่งหลานๆ ไปโรงเรียนบ่อยๆ เหมือนที่พ่อตั้งใจไว้ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายใจดีกับพ่อของลูก เหมือนที่พ่อใจดีกับทุกคนเสมอ รักพ่อที่สุดในโลก

สำหรับพี่น้องที่อ่านมาถึงตรงนี้ คุณพ่อเป็นคนไทยคนหนึ่ง เป็นนายกฯ ที่ถูกพูดถึงว่ามีผลงานมากที่สุด และประสบชะตากรรม ถูกกระทำแสนสาหัส การตัดสินใจกลับบ้านครั้งนี้ เป็นสิ่งที่คุณพ่อพูดอย่างจริงจังต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2565 แม้จะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และในฐานะคนไทยคนนึง แต่คำนึงถึงอย่างที่สุด ต่อความสบายใจ และกังวล ห่วงใย ของทุกคนค่ะ ????#74yearsyoung ##tonywoodsome

อันที่จริงแล้วการประกาศเดินทางกลับมาตุภูมิของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใดเลย ผู้คนโดยทั่วไปก็รับรู้และระแคะระคายเรื่องนี้มานานมากแล้ว เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทักษิณพูดอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางทวิตเตอร์และการ live ในกิจกรรมของกลุ่ม care

แต่ที่เซอร์ไพรส์ประชาชนก็คือ “จังหวะเวลา” ในการออกมาพูดเรื่องนี้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ ผ่านปากคำของลูกสาวที่ได้รับการวางให้เป็นทายาททางการเมือง

เพราะในช่วงนี้ประเด็นการเมืองที่ร้อนแรงที่สุดกำลังตกอยู่ที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลซึ่งรับไม้ต่อมาจากพรรคก้าวไกลอีกที และการที่เพื่อไทยเชิญตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ทุกพรรคเข้ามายังที่ทำการพรรค เพื่อหารือประเด็นต่างๆ สำหรับแสวงหาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาลผสม จนนำมาสู่แรงกดดันมหาศาลจากประชาชนซึ่งไม่พอใจท่าทีที่เหมือนกับกำลังเปลี่ยนขั้วอยู่รอมร่อ

 

หากย้อนกลับไปทบทวนการประกาศ “กลับบ้าน” ของทักษิณ ชินวัตร ในระยะใกล้ๆ จะพบว่ามีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

เริ่มจากการทวีตข้อความ “ขออนุญาต” กลับบ้าน ในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้งทั่วไป 14 พฤษภาคม 2566 โดยกล่าวเอาไว้ในวันที่ 1 พฤษภาคม ว่า “เช้าวันนี้ ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่ 7 เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊งค์ แพทองธาร หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ ผมคงต้องขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน เพราะผมอายุจะ 74 ปี กรกฎานี้แล้ว พบกันเร็วๆ นี้ครับ ขออนุญาตนะครับ”

และอีกครั้งคือในวันที่ 9 พฤษภาคม อีกสองข้อความคือ “ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลานภายในเดือนกรกฎาคมนี้ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ เกือบ 17 ปีแล้วที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ผมก็แก่แล้วครับ” และ “ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย และวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเองด้วยความรักผูกพันกับครอบครัว/แผ่นดินเกิดและเจ้านายของเรา”

ข้อความนี้นอกจากดูเหมือนไม่เป็นคุณกับพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เพื่อไทยได้ผลการเลือกตั้งที่ผิดเป้าไปมาก (อ่านมุมมองการวิเคราะห์เรื่องนี้ได้ในบทความเรื่อง “การขออนุญาตกลับบ้านที่น่าฉงน และ กกต.พ่อทุกสถาบัน” 

ต่อมาหลังผลการเลือกตั้งออกมา ปรากฏว่าพรรคที่ได้รับชัยชนะมาเป็นอันดับ 1 กลับกลายเป็นพรรคก้าวไกล ขณะที่แชมป์เก่าหลายสมัยอย่างเพื่อไทย ตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 2 ทำให้พรรคก้าวไกลได้เป็นแกนนำในความพยายามรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล

แต่ต่อมาไม่นานเมื่อก้าวไกลทำไม่สำเร็จ จากปัญหาการลงมติในรัฐสภา ปัญหาการแสวงหาพรรคการเมืองแนวร่วม ตลอดจนคดีความข้อร้องเรียนต่างๆ ทั้งที่ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระอื่นๆ ซึ่งทำให้โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลตกมาอยู่ในมือเพื่อไทย

 

ทว่าโอกาสนี้นำวิกฤตศรัทธามาสู่เพื่อไทยเป็นอย่างมาก และทำให้แม้กระทั่งฐานเสียงของเพื่อไทยเองจำนวนไม่น้อยก็เชื่อเรื่อง “ดีลลับ” ที่ลือกันมาหนาหูตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

ภาพการสรวลเสเฮฮาหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างหวานชื่น ระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทยกับแกนนำพรรคอื่นๆ ในฝั่งรัฐบาลเดิม ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา พลังประชารัฐ และชาติพัฒนากล้า อันส่อให้เห็นแนวโน้มท่าทีว่าจะมีการหักพรรคก้าวไกล ผู้เป็นเจ้าภาพในการสร้าง MOU 8 พรรค แล้วลอยแพส่งไปเป็นฝ่ายค้าน

ภาพที่ปรากฏนี้สร้างความเดือดดาลให้มวลชนจำนวนมากถึงขั้นลงถนน และบางส่วนบุกตะลุยไปถึงที่ทำการพรรคเพื่อไทย

รวมทั้งก่อนที่อุ๊งอิ๊งจะประกาศการกลับมาของพ่อก็ยังเคยมีเอกสารลับของฝ่ายตำรวจหลุดออกมาด้วย ซึ่งตามเอกสารนั้นระบุแผนการเดินทางกลับประเทศไทยของทักษิณอย่างละเอียด ทำให้ดูเหมือนว่าปรากฏการณ์ทางการเมืองหลังเลือกตั้งที่ดูแสนจะวุ่นวาย ไม่แน่นอน และสุดโกลาหลนี้ เป็นพล็อตที่ได้เขียนไว้ก่อนมานานนมแล้ว

ส่วนปัญหาต่างๆ ที่ผุดงอกขึ้นมาใหม่ในแต่ละวันจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าความพยายามในการแก้ปัญหาเพื่อทำให้พล็อตดังกล่าวนั้นจบลงไปตามแผน

หลังจากอุ๊งอิ๊งโพสต์เพียงไม่กี่ชั่วโมง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็โพสต์ลงใน facebook ของตัวเอง แฉเรื่อง “ซุปเปอร์ดีล” ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ในฮ่องกงว่า

ฮ่องกงซุปเปอร์ดีล ทักษิณกลับไทย ประธานสภาเลื่อนการโหวตนายกฯ เพื่อไทยยกเลิกหมายประชุม 8 พรรค ออกอาการหลังเข็นไปไม่ไหว แบะท่าชวนอีกฝั่งมาเจรจาชนแก้ว “มิ้นต์ช็อก” ถึงบ้าน ก้าวไกลก็ไม่ถอย ไม่ลดเพดาน ประชาชนอดทนรอนายกฯ คนใหม่ ส่วน ส.ว. ยันเสียงแข็ง “มีก้าวไกล ไม่มี ส.ว.” ทุกอย่างก้าวไปไหนไม่ได้ ถึงทางตันของแท้ เพราะไม่มีใครยอมถอย แต่ภาวะเงียบสงบเชื่อมโยงไปถึงสัญญาณเจรจาที่ “ฮ่องกง” กับทักษิณ แกนนำเพื่อไทย ศาสดาก้าวไกล อำนาจเก่า ทหาร นายทุนใหญ่ แกนนำพรรคขั้วอำนาจเดิม ทุกอำนาจไปเคลียร์เพื่อปิด “ซุปเปอร์ดีล” ที่ฮ่องกง ก่อนข่าวออก “ทักษิณกลับบ้าน 10 สิงหาคม” ตกลงซุปเปอร์ดีลได้ ปิดจ๊อบให้ความมั่นใจระดับทักษิณเตรียมแพ็คกระเป๋ากลับบ้าน ทุกอำนาจพยักหน้ายอมรับ “ซุปเปอร์ดีล” เกมเหนือเมฆ ลงตัวที่นายกฯ ตัวสูงๆ แต่ซุปเปอร์ดีลจะคุ้มกับความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้หรือไม่? หนึ่งคนแลกกับ 26 ล้านเสียง อนาคตไม่กี่วันได้คำตอบ

ซึ่ง “ศาสดาก้าวไกล” ในที่นี้ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าคือ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หากข่าวลือนี้เป็นความจริง บทสรุปของการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ค้างเติ่งอยู่สองเดือนก็มีวี่แววว่าจะคลี่คลายได้ในไม่ช้า

รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งอาจมีรูปลักษณ์คล้าย “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่ไม่มีก้าวไกล หรือไม่ก็เป็นแนวร่วมเดิมตาม MOU ที่มีความเปลี่ยนแปลงบางประการอย่างมีนัยสำคัญ

 

แต่ไม่ว่าฉากจบของเรื่องนี้จะออกมาเป็นอย่างไร ภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยที่เสื่อมลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งก็จะตกต่ำลงต่อไปหากไม่มีการแก้ไข

ถึงขนาดที่กูรูด้านการสร้างแบรนด์อย่าง “ประกิต กอบกิจวัฒนา” ก็ยังเห็นว่ายากที่จะรีแบรนด์ได้ โดยเขียนไว้ในบทความชื่อ “เอ๊ะ! รีแบรนด์ รีฟอร์ม เพื่อไทย หรือเลือก…ทุบทิ้ง…ดีครับ ทักษิณ” ความตอนหนึ่งว่า

“คำแนะนำสำหรับพรรคเพื่อไทย สั้นๆ จากผม คนทำแบรนด์ ได้เวลาทุบพรรคเพื่อไทยทิ้งแล้ว นำบทเรียนจากการเลือกตั้งสองครั้งในช่วง 5 ปี มารื้อสร้าง และประกอบขึ้นใหม่ ปล่อยให้พรรคอยู่ในคนรุ่นใหม่ ให้พวกเขาเป็นฝ่ายนำ ทำพรรคให้กลายเป็นองค์กรการเมืองอย่างแท้จริง”

ภาพลักษณ์ที่มีนายใหญ่เป็นเจ้าของผูกขาดสั่งการ อันผ่านมาจากดีลลับและซูเปอร์ดีลที่หวือหวาน่าตื่นเต้นแต่พร้อมจะหักอกสาวกได้ง่ายๆ จะกลายเป็นภาพจำฝังแน่นที่ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ก็ไม่สามารถล้างออก และเมื่อใดก็ตามที่การเดินทางกลับบ้านของทักษิณเกิดขึ้นจริง พร้อมไปกับการจัดตั้งรัฐบาลแบบสลับขั้วหรือย้ายขั้ว เมื่อนั้นก็เห็นทีว่ากาลอวสานของพรรคเพื่อไทยก็อาจมาถึงไวกว่าที่ใครหลายคนคิด

กาลอวสานของพรรคเพื่อไทยในฐานะที่เป็นหัวหอกของนักเคลื่อนไหวและผู้ถูกกระทำทางการเมือง อันเป็นบทบาทดั้งเดิมที่สร้างศรัทธามหาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรากหญ้า ก็จะกลายเป็นตำนานที่ค่อยๆ เลือนลายไป กลายมาเป็นตัวตนใหม่ในชื่อเดิมที่ฐานเสียงเก่าไม่เอาอีกต่อไปแล้ว

ส่วนจะตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาแทนที่ไปเลยหรือไม่ วันนี้คงไม่มีใครบอกได้