เมืองไทย เดินหน้าสู่อดีต กลิ่นหายนะโชยมาแล้ว | เหยี่ยวถลาลม

ทุกคนรู้พอๆ กัน ประเมินได้ใกล้เคียงกันว่าการขึ้นสู่อำนาจหลังเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 นั้นจะต้องเจอ “กับดัก” จาก “ทายาทอสูร”

เกือบ 10 ปีมาแล้วที่ “คสช.” ได้วางกับดักเอาไว้ล่วงหน้าหลายทางพร้อมกับใช้หลายกลไกเป็นเครื่องมือ “กำจัด” ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

หลังจัดให้มีการเลือกตั้งมีนาคม 2562 ก็สามารถจัดการได้ตามแผน ทำให้ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตผู้นำรัฐประหารกลับมานั่งเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” รอบ 2

แต่เลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ประเมินผิดพลาดคลาดเคลื่อน

ฝ่ายรัฐบาลเดิมที่แตกตัวออกเป็น 2 พรรคของ 2 ลุง กับพรรคพันธมิตร ตกต่ำอย่างหนัก ได้ ส.ส.น้อยเกินความคาดหมาย

“เพื่อไทย” ที่อ่านเกมขาดว่าจะต้องเจอ “กับดัก” หลังเลือกตั้ง จึงรณรงค์ให้เทคะแนน “แลนด์สไลด์” แก่ “เพื่อไทย” นั้นก็ “ผิดคาด”

“ก้าวไกล” กลายเป็นพรรคอันดับ 1 มี 151 ที่นั่ง ขณะที่ “เพื่อไทย” ไม่แลนด์สไลด์ ตกเป็นพรรคอันดับ 2 ได้มา 141 ที่นั่ง

ผลเลือกตั้งย่อมสะท้อนถึง “เจตจำนง” ของประชาชน!

 

“กกต.” แถลงว่า ตั้งแต่จัดเลือกตั้งมา 7 ครั้ง คราวนี้มี “ผู้มาใช้สิทธิ” สูงที่สุด

จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52 ล้านคน มาใช้สิทธิถึง 39 ล้านคน คิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์

จำแนกผลเลือกตั้งได้คร่าวๆ ให้เข้าใจง่ายได้ว่า

พรรคฝ่ายค้านเดิม หรือที่มารวมตัวกับพรรคเล็กๆ รวม 8 พรรคแล้วเรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” นั้น มีคะแนนรวมกันได้ 27 ล้านเสียง รวม ส.ส.ได้ 312 คน

ส่วนฝ่ายรัฐบาลเดิม แตกตัวเป็น 2 พรรค ของ 2 ลุง รวมกับพรรคพันธมิตรที่ร่วมรัฐบาลกันมา คราวนี้แพ้ยับเยิน มีคะแนนรวมกันแค่ 7 ล้านเสียงกว่าๆ รวม ส.ส.แล้วได้ 188 คน

ทำให้ไม่สามารถที่จะเสนอหน้า “ช่วงชิง” การจัดตั้งรัฐบาลได้เหมือนเมื่อครั้ง “เลือกตั้งมีนาคม 2562”

หากเปรียบเทียบ 14 ล้านคนเลือก “ก้าวไกล” และ 10.9 ล้านคนเลือก “เพื่อไทย” ฝ่ายหนึ่ง

กับ “รวมไทยสร้างชาติ” ของลุงตู่ 4.7 ล้านคน และ “พลังประชารัฐ” ของลุงป้อม อีกแค่ 5 แสนคน อีกฝ่ายหนึ่ง ก็นับว่าห่างไกลกันมาก

“เสียงประชาชน” สะท้อนอย่างตรงไปตรงมาว่า “ต้องการเปลี่ยนแปลง”

มิพักต้องไปดูคะแนนนิยม “ภูมิใจไทย” ที่มีแค่ 1 ล้านคน “ประชาธิปัตย์” 9 แสนคน “ชาติพัฒนากล้า” 2 แสน และ “ชาติไทยพัฒนา” ของลูกท็อป ที่มีแค่ 1.9 แสนคน อยู่ในระนาบเดียวกับพรรคการเมืองน้องใหม่ เช่น พรรคเพื่อไทยรวมพลัง 2 แสนคน พรรคเป็นธรรม 1.8 แสนคน และพลังสังคมใหม่ 1.7 แสนคน

แต่การได้ชัยชนะมานั้นนับว่ายากแล้ว การรักษาชัยชนะเอาไว้ยากยิ่งกว่า!

 

ถึงแม้ฝ่ายประชาธิปไตยจะรวมกันได้ 312 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร 500 คน แต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศได้ เนื่องจาก “ทายาทอสูร” กำหนดให้ต้องผ่านด่าน “ส.ว. 250 คน” ที่มาจากการแต่งตั้งของ “หัวหน้า คสช.”

จะมีใครยกมือสนับสนุน “ส.ส.” ที่มาจากประชาชน!?

“ส.ว.” กลายเป็น “สิ่งกีดขวาง” เจตจำนงประชาชน 27 ล้านคน

“มาตรา 112” ถูกนำมาใช้อย่างซ่อนเร้นอำพราง บดบังจุดมุ่งหมายที่แท้จริง

บนกระดานการเมืองไทยมีความสลับซับซ้อนมากไปกว่านั้น

“ก้าวไกล” เป็นพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ เป็นพรรคเดียวที่กล้าประกาศ “เปลี่ยนแปลง” อย่างแท้จริงในหลายๆ ด้านที่กระทบกระเทือนถึงกลุ่มทุนและอภิสิทธิ์ชนในโครงข่ายการคอร์รัปชั่น

ต่างจาก “เพื่อไทย” ที่เกือบ 20 ปีมานี้ถูกทุบทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าจนอ่อนเปลี้ย

เมื่อ 20 ปีก่อน “ทักษิณ ชินวัตร” เคยเป็นศัตรูทางการเมืองหมายเลข 1 ถูกทหารการเมืองก่อรัฐประหารยึดอำนาจ

ตัดหัวเสร็จ “ยุบพรรค” ไทยรักไทย ตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหาร

แต่แม้จะแปลงโฉมเป็น “พลังประชาชน” พรรคสายพันธุ์ทักษิณก็ชนะขาดลอยในสนามเลือกตั้ง

“ยุบพรรค” พลังประชาชนอีก!

สอย “สมัคร สุนทรเวช” กับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

บีบคั้นกดดันกันจน “แตก” เกิดการแยกตัวเปลี่ยนขั้วแล้วจึงพากันไปจัดตั้งรัฐบาล “นอมินี” ในค่ายทหาร

เมื่อ “เจตจำนง” ประชาชนที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้งถูกฉกชิงฉ้อฉลก็นำไปสู่การชุมนุมในปี 2553

จบลงด้วย 99 ศพ จากเหตุที่กำลังพลรบของกองทัพ “ได้รับคำสั่ง” ให้ใช้อาวุธสงคราม ยิงด้วย “กระสุนจริง” และใช้พลแม่นปืนส่องยิงด้วย “สไนเปอร์”

เก็บศพ เช็ดเลือด เช็ดน้ำตาเสร็จจัดให้มีการเลือกตั้ง!

“เพื่อไทย” พรรคสายพันธุ์ทักษิณชนะท่วม ส่ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวเป็น “นายกรัฐมนตรี”

ปล่อยให้เล่นกันไปพักหนึ่งก็จุดชนวน แค่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะกู้เงินมา “สร้างประเทศ” ด้วยโครงข่ายคมนาคมที่ครบถ้วนพร้อมด้วยรถไฟความเร็วสูง

พวกบอกว่า “รอให้ถนนลูกรังหมดจากประเทศเสียก่อน”!

ถัดจากนั้นก็สอย “ยิ่งลักษณ์” ลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ไล่ต้อนจนต้องหนีออกนอกประเทศ

“22 พฤษภาคม 2557” รัฐประหารอีกครั้ง

 

เกือบ 10 ปีแล้วที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของ “ระบอบ 3 ป.” กับ “รัฐธรรมนูญ” ที่ดีไซน์เอาไว้เพื่อ “รักษาอำนาจ” ที่สืบทอดจาก “คสช.”

กล่าวสำหรับพรรคการเมืองสายพันธุ์ทักษิณ ในรอบ 20 ปีมานี้ยังไม่เคยแม้แต่เป็น “ที่ 2”

เพิ่งจะคราวนี้ “ก้าวไกล” ก้าวล้ำไป 10 ที่นั่ง

อย่างไรก็ตาม “เจตจำนงประชาชน” ที่สะท้อนผ่าน 27 ล้านเสียงนั้นคือ ต้องการให้ “พรรคฝ่ายค้านเดิม” ที่รวมกันได้ 312 เสียง จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก

ส่วน “ฝ่ายรัฐบาลเดิม” 188 เสียงนั้นควรเป็น “ฝ่ายค้าน”

สำหรับ “250 ส.ว.” คือ ติ่ง ครบกำหนดตามบทเฉพาะกาลในเดือนพฤษภาคม 2567 ก็จะ “หลุด” จากขั้วอำนาจ ไม่ควรขัดขวาง “เจตจำนง” เสียงข้างมาก 27 ล้านเสียง

กระนั้นก็ตาม ในสถานการณ์เฉพาะหน้านี้ ฝ่ายความมั่นคง (ของนาย) นำเสนอว่า “เพื่อไทย” กำลังอ่อนแรง จนอาจถึงขั้นสามารถจะ “อ่อนข้อ” ได้ จึงขอให้ “ส.ว.” เรียงหน้าตั้งแถวปฏิบัติภารกิจสุดท้ายพิทักษ์ “ระบอบ 3 ป.” เอาไว้ให้จนถึงนาทีสุดท้าย

พร้อมกับค่อยๆ ยุให้รำทำให้แตก ตามยุทธวิธี “แบ่งแยกแล้วปกครอง”