โลกยุค ‘ร้อน’ มรณะ

ทวีศักดิ์ บุตรตัน
Brandon Bell/Getty Images

นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองว่าโลกวันนี้กำลังเข้าสู่ยุค “ร้อนมรณะ” หรือ killer heat

เพราะสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนจากเดิมไปมาก

อากาศร้อนจัดและกินระยะเวลานานจนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น กลายเป็นภัยคุกคามมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

“เบรนดา เอเคอร์เซล” หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่พูดถึงเรื่องร้อนมรณะไว้ชัดเจน และยังระบุว่าภาวะโลกร้อนยกระดับความรุนแรง ดูได้จากอุณหภูมิในทวีปยุโรปร้อนกว่าปกติราว 10-15 องศาเซลเซียส เมื่อเกิดคลื่นความร้อนก็มีระยะเวลาการเกิดนานขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ทำให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนเพราะน้ำทะเลระเหยเร็วขึ้น การหมุนเวียนของอากาศเปลี่ยนไป

สถิติร้อนที่สุดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่ร้อนที่สุดทำลายสถิติเก่า เพราะเดือนมิถุนายนทำสถิติร้อนที่สุดของเดือนมิถุนายนที่เคยมีมา และวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุด วันที่ 4-5-6 กรกฎาคมร้อนสุดจนกลายเป็นสัปดาห์ที่ร้อนที่สุด จัดเป็นสถิติใหม่

ตลอดช่วง 30 วันตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีสถิติใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทั้งร้อนสุดและฝนตกหนักสุด 10,000 แห่งทั่วโลก

 

หลายพื้นที่ทางด้านใต้ของสหรัฐเจออากาศร้อนอย่างสุดๆ บางเมืองอย่างเช่น ฟินิกซ์ อุณหภูมิพุ่งไปที่ 43.3 องศาเซลเซียส ติดต่อกันนาน 19 วัน ทำให้ชาวเมืองกว่า 1.6 ล้านคนปั่นป่วน ไม่กล้าออกมาเดินเล่นกลางแดดจ้า เพราะมีโอกาสร้อนจัดถึงตายได้

ข้อน่าสังเกต เมืองฟินิกซ์มีอุณหภูมิร้อนจัดมาตั้งแต่เดือนเมษายน และมีแนวโน้มว่าอาจจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เกิดคลื่นความร้อนในเมืองฟินิกซ์ มีผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนจัด 425 คน มาปีนี้ทางการฟินิกซ์ออกคำเตือนย้ำให้ระวังคลื่นความร้อน ถึงกระนั้น ก็มีผู้เสียชีวิตเพราะอากาศร้อนไปแล้ว 12 คน สื่อที่นั่นบอกว่า คลื่นความร้อนเป็น “ฆาตกรเงียบ” (silent killer)

ที่ยุโรป อุณหภูมิที่พุ่งสูงทำสถิติใหม่ๆ อย่างในกรุงโรม ประเทศอิตาลี พุ่งทะลุ 41.8 องศาเซลเซียส ทำลายสถิติเดิม 40.5 องศาเซลเซียส เมื่อปี 2550 ที่คาบสมุทรอิเบอเรียน ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของสเปน อุณหภูมิสูงถึง 45 องศาเซลเซียส

ที่ตุรกี อุณหภูมิทะลุ 44 องศาเซลเซียส เท่ากับที่กรีซ ส่วนไซปรัส 42 องศาเซลเซียส มอนเตเนโกร 40 องศาเซลเซียส เซอร์เบีย 38 องศาเซลเซียส โรมาเนีย 39 องศาเซลเซียส

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกชี้ว่าทวีปยุโรปทำสถิติใหม่เป็นสัปดาห์ที่ร้อนที่สุด และไม่ใช่ร้อนเพียงอย่างเดียว แต่ยุโรปยังเกิดภัยแล้ง พื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของยุโรปแล้งเพราะไม่มีฝนตกลงมาเลย

บิลบอร์ดดิจิตัลแสดงอุณหภูมิ 111 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 43 องศาเซลเซียส) ย่านฟินิกซ์ เมื่อวันวันที่ 17 กรกฎาคม 2023 /ภาพถ่ายโดย AP /Matt York

“เจมส์ แฮนเสน” นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของสหรัฐระบุไว้ว่า โลกวันนี้ขยับเข้าสู่ยุค “ซูเปอร์ฮีต” คือร้อนจัดอย่างสุดๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบ 1 ล้านปี

เหตุที่โลกร้อนขึ้นนั้น เป็นเพราะฝีมือมนุษย์นี่แหละ ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายล้วนโง่เขลาไม่ยอมแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าผลจากการกระทำจะต้องเกิดปัญหานี้

“แฮนเสน” เคยนำปัญหาวิกฤตโลกร้อนเข้าชี้แจงต่อสภาคองเกรสเมื่อ 35 ปีที่แล้ว และเตือนไว้ว่าสภาพภูมิอากาศของโลกจะเปลี่ยนแปลง โลกจะร้อนขึ้น อุณหภูมิเพิ่มสูง นำไปสู่ผลกระทบอื่นๆ เช่น พายุจะรุนแรง คลื่นความร้อนและภัยแล้ง

มาวันนี้สิ่งที่ “แฮนเสน” คาดการณ์เอาไว้เกิดขึ้นเป็นจริงเห็นชัด อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นกว่าเดิม 1.2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

เมื่อ 50 ปีก่อน พื้นที่ตอนเหนือของโลกมีโอกาสที่อุณหภูมิเพิ่มสูงในฤดูร้อนเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ขยับมาเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ประเทศต่างๆ ในยุโรปมีอากาศร้อนจัดในฤดูร้อน

แฮนเสนทำงานในองค์การนาซาของสหรัฐ ได้เห็นข้อมูลสถิติการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโลกมาตลอด และได้เรียกร้องมากว่า 3 ทศวรรษให้ชาวโลกช่วยกันแก้ปัญหาด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวทำลายชั้นบรรยากาศโลกทำให้สภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง

ตอนนี้ “แฮนเสน” อายุ 82 ปีแล้ว ก็ยังย้ำเตือนให้ชาวโลกเร่งแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนเช่นเดิม

 

เมื่อไม่นานมานี้นเสน” ให้สัมภาษณ์กับเดอะ การ์เดี้ยนของอังกฤษว่า คลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุมยุโรป สหรัฐ จีน และอีกหลายแห่ง เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ปัญหาโลกร้อนไม่ได้รับการแก้ไขเลย ในฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ รู้สึกผิดหวังอย่างมาก และเห็นว่านักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้สื่อสารเรื่องนี้ให้ชัดเจน ขณะที่บรรดาผู้นำทั้งหลายก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ

“นี่ไงที่บอกว่าเราทั้งหลายล้วนโง่เขลา จึงสมควรรับกรรมที่ทำไว้” แฮนเสนบอกเป็นนัยอย่างนั้น

แฮนเสนอธิบายว่า อากาศร้อนจัดๆ ในเดือนมิถุนายนนี้จนทำลายสถิติโลก ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่นั้นๆ จะมีอากาศร้อนจัดตลอดไป เพราะสภาพภูมิอากาศผันผวนเปลี่ยนแปลง แต่อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นมากกว่าเดิมและยกระดับเป็นร้อนสุดขีดในบางแห่ง

นักวิทยาศาสตร์ได้เก็บข้อมูลย้อนหลังก่อนยุคน้ำแข็งมากกว่า 120,000 ปี จากวงปีของต้นไม้ แกนน้ำแข็งที่อยู่ใต้ผิวโลกและชั้นหิน พบว่าโลกในยุคนั้นอุณหภูมิไม่ได้ร้อนจัดเหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้ จึงได้ข้อสรุปว่าชาวโลกในปัจจุบันอยู่ในยุคที่มีอากาศร้อนจัดอย่างสุดๆ ร้อนกว่ายุคที่ชาวโลกเพิ่งมีการทำเกษตร

ข้อมูลที่ปรากฏในปัจจุบัน จากอุณหภูมิพื้นผิวโลกที่ร้อนขึ้นจะนำไปสู่ปัญหาการละลายของธารน้ำแข็ง น้ำทะเลเพิ่มสูงท่วมพื้นที่ชายฝั่ง อากาศร้อนจัดทำให้เกิดไฟป่า ความร้อนทำลายพืชผลการเกษตร ทะเลที่ร้อนขึ้นทำให้ปลาและสัตว์น้ำสูญพันธุ์ ปริมาณปลาลดลง จะเกิดปัญหาการขาดแคลนอาหาร เกิดความปั่นป่วนทางสังคมเพราะคนไม่มีจะกิน

นี่เป็นภาพของการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหญ่สู่ยุคที่มีอากาศร้อนจัดอย่างสุดๆ ที่ชาวโลกต้องหาทางรับมือ แก้ไขและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างเร่งด่วน •

 

สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]