รัฐบาลใหม่ไทยกับวิกฤตพม่า

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

รัฐบาลใหม่ไทยกับวิกฤตพม่า

 

เมื่อคุณดอน ปรมัตถ์วินัย ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศบอกว่าได้พบกับออง ซาน ซูจี ที่พม่า แต่ไม่มีรายละเอียดว่าจะนำไปสู่การเจรจาระหว่างฝ่ายทหารและพลเรือนหรือไม่ ก็แปลว่ายังไม่มีอะไรคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม

บทบาทของไทยในวิกฤตจึงยังน่าคลางแคลงว่าจะนำไปสู่ความคืบหน้าในการทำตาม “ฉันทามติ 5 ข้อ” ของอาเซียนหรือไม่

ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่าเราจะเป็นผู้ “ประสาน” ระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับอาเซียน

หรือจะกลายเป็น “ปัจจัยที่ทำให้อาเซียนปริแยก” มากขึ้นหรือไม่

และรัฐบาลไทยชุดนี้จะส่งเรื่องนี้ต่อให้กับรัฐบาลชุดใหม่อย่างไรจึงจะมีความต่อเนื่อง

เพราะต้องยอมรับว่ากรณีพม่านี้ ทำให้อาเซียนบางประเทศเกิดความคลางแคลงเกี่ยวกับบทบาทของไทยพอสมควร

จำเป็นที่ไทยจะต้องประเมินบทบาทในเรื่องนี้เพื่อผนึกกำลังอาเซียนให้เหนียวแน่น

และกดดันให้รัฐบาลทหารพม่าต้องยอมเดินตามแนวทางของอาเซียน

ไม่ใช่ทิศทางที่ทำให้ไทยถูกเพื่อนอาเซียนมองว่าเราถูกพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับอาเซียนอย่างที่เห็นอยู่ขณะนี้

เพราะแม้คุณดอนจะอ้างว่าการได้พบกับออง ซาน ซูจี ด้วยความกรุณาของรัฐบาลทหารพม่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถหลุดพ้นจากข้อหาและคำสั่งของศาลทหารให้จำคุกรวมแล้วถึง 33 ปี

เพราะแม้แต่ลูกชายของเธอที่เพิ่งจะเรียกร้องอย่างเปิดเผยผ่านวิดีโอคลิปเนื่องในโอกาสวันเกิดของแม่ ให้รัฐบาลทหารพม่าปล่อยเธอ ก็ยังไม่ได้ผลอะไรเลยแม้แต่น้อย

ถ้าคนในครอบครัวของเธอเรียกร้องถึงขนาดนี้แล้ว รัฐบาลทหารพม่ายังนิ่งเฉย ก็น่าสงสัยว่าคุณดอนจะสามารถน้าวโน้มให้มิน อ่อง ลาย ผ่อนคลายการคุกคามต่อเธอและประชาชนคนพม่าจำนวนมากที่กำลังถูกปราบปรามอย่างหนักได้อย่างไร

ออง ซาน ซูจี มีอายุครบ 78 ปีวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ลูกชายคนเล็กของเธอเรียกร้องให้นานาชาติสนับสนุนการปล่อยตัวเธอมากขึ้น

Kim Aris ใช้ชีวิตอยู่ในสหราชอาณาจักร ก่อนถึงวันเกิดแม่ของเขา เขาปล่อยวิดีโอข้อความผ่านสำนักข่าวอิสระในเมียนมา

ในคลิปนั้น คิม อะริส กล่าวว่า “นี่เป็นข้อเรียกร้องประการแรกต่อกองทัพพม่าให้ปล่อยตัวแม่ของผมและนักโทษการเมืองทั้งหมด และให้ยอมหยุดยิงในขณะที่เปิดการเจรจาเพื่อมอบอำนาจคืนให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย”

ออง ซาน ซูจี ถูกควบคุมตัวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564

คิม อะริส บอกว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบเธอและยังไม่มีการบอกว่าเธอถูกกักตัวไว้ที่ไหนและภายใต้เงื่อนไขใด

คิมบอกว่าเขาเคยใช้ชีวิตวัยเด็กที่ญี่ปุ่นและอินเดียซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย

โดยเฉพาะอินเดียซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดของโลกกลับมีบทบาทสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่า

“เป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่นและอินเดีย ซึ่งควรจะเป็นประชาธิปไตยที่สำคัญของโลกกลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาล…”

คิมเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศใช้ “แรงกดดันอย่างมีประสิทธิภาพ” ต่อรัฐบาลทหาพม่าเพื่อยุติสิ่งที่เขาเรียกว่า “การปฏิบัติที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมต่อประชาชนของตน”

หากรัฐบาลทหารพม่าจะจริงใจกับรัฐบาลไทยที่อุตส่าห์เปลืองตัวปกป้องพวกเขาจนเพื่อนเราในอาเซียนมีความระแวงเรา ก็ควรจะต้องทำให้มีความคืบหน้าในการสร้างสันติภาพอย่างเป็นรูปธรรม

แต่เปล่าเลย

มิน อ่อง ลาย อาจจะให้คุณดอนพบออง ซาน ซูจี เพื่อเอาใจรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเพื่อจะได้ใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง

แต่ผลที่ตามมานั้นทำให้ไทยเราถูกมองในแง่ลบจากคนพม่าที่กำลังถูกปราบปรามอย่างหนักเพราะยังเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างไม่เกรงกลัวกระสุนและอำนาจของรัฐบาลทหารพม่า

หลังจากคุณดอนแจ้งกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนว่าได้พบออง ซาน ซูจี รัฐบาลเงาของพม่า หรือ National Unity Government (NUG) ออกมาวิจารณ์ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศไทยเล่นเกมการเมือง

แถลงการณ์ของ “รัฐบาลคู่ขนาน” ของพม่านี้ท้าว่าถ้าคุณดอนบริสุทธิ์ใจจริง ต้องเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองกว่าหมื่นชีวิต

แถมยังจี้ให้ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ประชุมที่กรุงจาการ์ตาเมื่อเร็วๆ นี้ให้ซักถามพฤติกรรมของไทยในกรณีนี้

ด้วยคำถามว่าทำไมจึงปล่อยให้รักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่กำลังจะลงจากอำนาจเข้ามาแทรกแซงในเรื่องที่มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศพม่าเช่นนี้

นอกจากนี้ กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่ายังขอให้คุณดอนแสดงหลักฐานชัดๆ ว่าได้พบออง ซาน ซูจี จริงหรือไม่อย่างไร

เพราะการจะสร้างความน่าเชื่อถือได้นั้น คุณดอนจะต้องนำเสนอเนื้อหาสาระของการพบปะกับผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยของเขา

และต้องแจ้งกับชาวโลกด้วยว่า ออง ซาน ซูจี ได้เรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่าทำอะไรเพื่อประชาชนคนพม่าที่รอคอยให้บ้านเมืองกลับไปสู่การเลือกตั้งที่สะท้อนถึงความมีสิทธิมีเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง

 

“ถ้อยแถลงของนายดอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยเกี่ยวกับนางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ เป็นกลยุทธ์ทางการเมือง” นายจอ ซอ โฆษกรัฐบาล NUG กล่าวในแถลงการณ์ฉบับนั้น

ซ้ำร้าย ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยของพม่ายังบอกว่าความเคลื่อนไหวของคุณดอนยังเป็นเสมือนกับ “การเหยียบย่ำนักโทษทางการเมืองที่ถูกจับกุมอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง”

คุณดอนถูกมองว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ “ยุทธวิธีทางการเมือง” ที่รัฐบาลทหารพม่ากระทำกับรักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเท่านั้น

เขาเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็น “ความพยายามที่ไม่สุจริตใจ”

“NUG สนับสนุนให้ประเทศในอาเซียนในการช่วยเหลือปัญหาเมียนมา โดยต้องสะท้อนเจตจํานงและทัศนคติของสาธารณชน ไม่ควรพยายามทําให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น และนอกจากนี้ ยังต้องเป็นไปตามข้อตกลงฉันทามติห้าข้อของอาเซียน”

โฆษก NUG ระบุ

 

ทั้งนี้ หลังจากการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา รัฐบาลทหารพม่าได้พยายามขัดขวางไม่ให้ออง ซาน ซูจี พบกับนักการทูตระหว่างประเทศ

เธอได้รับอนุญาตให้พบปะกับสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ได้แค่บางคนเท่านั้น

ที่ทำให้ประเทศไทยเราเกิดภาพที่ไม่สวยงามนักก็เพราะคนพม่าและนักการทูตหลายชาติกลับมองว่าการที่คุณดอนภายใต้การนำของนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชานั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกองทัพพม่า

หนีไม่พ้นที่จะทำให้นักวิเคราะห์บางสำนักมองว่าไทยกับพม่ามีอะไรละม้ายกันตรงที่ผู้นำกองทัพของทั้งสองประเทศได้ใช้วิธีรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ทำให้ไทยถูกมองว่ากองทัพไทยยังมีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศไทยในอันที่จะไม่ทำให้รัฐบาลทหารพม่าต้องเสียอำนาจ

ทั้งๆ ที่เราอ้างว่าเราต้องการจะให้เพื่อนบ้านทางตะวันตกของเราแห่งนี้กลับสู่ภาวะปกติ

รัฐบาลไทยพยายามอ้างว่าปัญหาพม่าเป็นเรื่อง “ละเอียดอ่อน สลับซับซ้อน” ที่ประเทศอาเซียนอื่นไม่เข้าใจหรือไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเหมือนไทย

แต่ในความเป็นจริงนั้น เมื่อไทยได้ใช้ “การทูตเงียบ” มายาวนาน แต่ไม่สามารถทำให้รัฐบาลทหารพม่ายอมทำตามฉันทามติของอาเซียนที่ไทยเราเป็นสมาชิกที่สำคัญ

แม้เราจะขอร้องให้ทหารพม่าหยุดถล่มโจมตีประชาชนชาวพม่าที่ต้องหนีเข้ามาไทยเป็นจำนวนมาก

ทั้งๆ ที่เราขอให้เปิดการพูดคุยระหว่างทหารกับพลเรือน แต่มิน อ่อง ลาย ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมผ่อนปรนแม้แต่น้อย

ตราบที่การทูตไทยไม่ปรับไม่เปลี่ยนให้เป็น “อิสระ” จากอำนาจเก่า เราก็มิอาจปกป้องผลประโยชน์ที่แท้จริงของปวงชนชาวไทยได้จริงๆ