จัตวา กลิ่นสุนทร : หนีไม่พ้นจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง กับ (บรรดา) ช่าง การซ่อมแซม ก่อสร้าง? (4)

บ้านหลังแรกจากหยาดเหงื่อแรงงานของเรา ซึ่งบอกตรงๆ ว่าเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินประมาณแสนบาทเมื่อกว่า 30 ปีมาแล้ว ซึ่งจากวันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ได้รับการปรับปรุง ต่อเติม ตกแต่ง ครั้งใหญ่ๆ ไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง

รวมทั้งสร้างขึ้นอีกหลังหนึ่งมาประกบกันได้กว่าสิบปีแล้วเช่นเดียวกัน หน้าตาบ้านจึงไม่มีความสวยงามทันสมัยอะไรเพิ่มขึ้นมา นอกจากราคาที่ถมลงไปๆ นั้นสูงมากๆ

ที่จริงก็ไม่ต้องการเรื่องทันสมัยอะไรอย่างนั้นแล้ว อยากได้เป็นที่อยู่อาศัยที่สุขสบาย ไม่มีปัญหาเรื่องสาธารณูปโภค น้ำไม่ท่วม การระบายน้ำเสียเป็นไปด้วยดี ขยะไม่ทับถมล้นหลาม

มีความรู้สึกว่าต่อเติมเสริมแต่งขยับขยายบ้านทุกครั้งจะอยู่ได้ช่วงเวลานิดเดียวก็ทำท่าว่าแออัดรกรุงรังอีกแล้ว เพื่อนๆ ที่เข้าใจปัญหาเคยบอกว่า “ก็ 30 กว่าปีมันมีแต่ของเข้าบ้าน ของออกแทบไม่มี” จริงของมันต้องค่อยๆ ตัดใจทิ้งโน่น นี่ แจกจ่ายสิ่งของไม่ใช้แล้วผ่านมือไปบ้าง แต่ก็เป็นไปได้สักชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็แน่นบ้านแทบไม่มีที่เดินอีก

ช่างมัน จะเป็นยังไงก็ปล่อยให้มันเป็นไป แต่ปัญหามันไม่ใช่เพียงแค่นั้น สมาชิกในบ้านเองก็มีสังคม มีเพื่อน เรียกว่าต้องมีแขกมาเยี่ยมเยียน สำหรับเพื่อนสนิทเป็นกันเองบางครั้งก็รับแขกกันในห้องที่เราตั้งโต๊ะอาหาร

แต่มันคงไม่เหมาะสำหรับแขกทั่วๆ ไป

 

ต้องใช้สติปัญญาคิดหาทางวางแผนต่อเติมบ้านเพื่อใช้เป็นห้องรับแขกเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับบ้านของเราที่สถาปนิกรุ่นน้องจากสถาบันเดียวกันเป็นผู้ออกแบบไว้สำหรับต่อเติมได้ทุกส่วนยกเว้นการยกให้สูงขึ้นเพื่อหนีน้ำในอนาคต

ปัญหาเรื่องสาธารณูปโภคคงหมดไปสำหรับส่วนที่ปลูกสร้างต่อเติมขึ้นใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของการระบายน้ำ การถ่ายเทบำบัดน้ำเสีย ของเสียเพื่อไม่สร้างปัญหาให้กับส่วนรวม เพราะเป็นครอบครัวที่อยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม ไม่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์อยู่แล้ว

เรื่องหนักใจกลับไปอยู่ที่งบประมาณ เพราะในเวลาที่ก่อสร้างนั้นเพิ่งผ่านมาสัก 3-4 ปี ซึ่งจะว่าไป “เศรษฐกิจ” ไม่รื่นไหลคล่องตัวทำมาหากินลำบาก ทั้งๆ ที่รัฐบาลได้พยายามเป็นอย่างมากถึงกับเปลี่ยนรัฐมนตรีเข้ามาควบคุมด้านเศรษฐกิจ

แต่มันก็หนีไม่พ้นเรื่องการอัดฉีดเงินลงไปในมวลหมู่ประชาชนคนยากไร้ แต่ก็เงียบหาย

 

ความจริงตั้งใจว่าให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเสียก่อนจะได้เริ่มต้นทำมาหากินให้เป็นเรื่องราวบ้าง แต่ถ้าขืนรอป่านนี้คงไม่ได้ทำอะไร เพราะระยะนั้น (2557) คิดว่าคงประมาณสัก 1 ปีกว่าๆ หลัง “ยึดอำนาจ” จะ “ทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” แต่ถึงวันนี้เวลาเดินเร็วยืดยาวมากว่า 3 ปียังไม่มีทีท่าว่าจะประกาศวัน “เลือกตั้ง” อย่างชัดเจน

แค่ “ปลดล็อกพรรคการเมือง” เพื่อให้เขาทำกิจกรรมทางการเมืองกันบ้างยังไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร? ความเบื่อ ความยากจนเริ่มแผ่ปกคลุมขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ สำหรับประเทศนี้ สุดท้ายก็จะเหลือคนรวยเพียงกลุ่มเดียวตรง “ยอดพีระมิด” เท่านั้นเอง

มีผู้รู้ จะเรียกว่าผู้สันทัดกรณีมีประสบการณ์สูงทางการเมือง อยู่กับประเทศนี้มากว่า 70 ปีบอกว่า สำหรับประเทศเราไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล จะมาจากการ “เลือกตั้ง” หรือรัฐบาลทหารมาจากการ “ยึดอำนาจ” ประชาชน เอาพวกมากมาบังคับขู่เข็ญเขาเข้ามา ถ้าอยู่เกิน 2 ปีได้ก็นับว่าเก่ง เพราะประชาชนคนบ้าน (ไทย) เรา เบื่อง่ายเป็นที่สุด

รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่กันมา 3 ปีกว่าพยายามจัดโน่นร่างนี่ เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปเยอะแยะมากมายโดยไม่มีใครคัดค้าน แต่ก็เชื่อว่าวันไหนที่ลงมาจากอำนาจ สิ่งที่วางแผนบังคับเขาเอาไว้มันก็จะต้องเปลี่ยนไป ต้องถูกแก้ไขแน่ๆ เป็น “สัจธรรม”

นับจากนี้อีก 1 ปีถ้ายังไม่มีการเลือกตั้ง ยังมองกันไม่เห็นว่าวัน “เลือกตั้ง” จะเกิดขึ้นเมื่อไร? วันไหน เชื่อว่ารัฐบาลเริ่มจะต้องอยู่ยากขึ้น จะบังคับขู่เข็ญกระโชกโฮกฮากอย่างไร? ต้องมีคนที่ไม่เกรงกลัวออกมาต่อต้าน เพราะประชาชนจะทำมาหากินยากลำบาก

เขากลัว “ความยากจน” มากกว่าการบังคับขู่เข็ญ ตวาด ตะคอก เสียงดัง?

 

หลังจากปลุกปล้ำกับช่างผู้รับเหมาก่อสร้างที่เขี้ยวลากดิน ไม่ตรงต่อเวลา โก่งราคามากๆ เอาวัสดุไม่มีคุณภาพไร้มาตรฐานห่วยๆ สอดแทรกมาทำการซ่อมแซม “ทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถว” จนเกิดความเสียหายเยอะแยะ โดยเฉพาะเรื่องเวลาเพราะทิ้งงาน แต่มันก็ผ่านมาได้อย่างกระท่อนกระแท่น ผู้เช่าที่ตกลงทำสัญญาไว้แล้วยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันอยู่ ซึ่งสุดท้ายก็ได้เข้ามาเช่าอยู่กันจนเต็มหมดทุกห้อง

เพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้นทุกวันกับการก่อสร้าง รู้ทิศทางของช่างทั้งหลาย แต่ถึงยังไงก็ไม่มีทางจะเอาชนะเล่ห์เหลี่ยม วิธีการของพวกเขาได้ หรือซื้อใจจากพวกนี้ได้ทั้งๆ ที่พยายามทุ่มหลายสิ่งอย่าง เลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งทุกวันก็แล้ว ให้เงินมากกว่าคนอื่น ก็ยังไม่ค่อยจะได้พบเจอคนที่ซื่อสัตย์ ยิ่งฝีมือดียิ่งเขี้ยว และเรียกร้องโก่งราคาค่าตัว

คิดจนลงตัวกับงบประมาณที่จะต่อเติมห้องรับแขกว่าพอทำได้แล้ว ก็ลงมือสเก๊ตช์แบบคร่าวๆ ไม่ได้ขออนุญาตทางเขตอย่างเป็นทางการ เพียงแค่โทรศัพท์ไปกราบเรียนกับผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือว่าไม่ได้ก่อสร้างอะไรเดือดร้อนใคร เพราะเป็นการต่อเติมภายในบ้าน รับรองไม่มีปัญหาเรื่องอันตรายต่างๆ อย่างใด

ตัดสินใจเปลี่ยนการจ้าง ช่างก่อสร้างเป็นรายวัน โดยตัด “ผู้รับเหมา” ออกไป ให้ช่างไปหาพวกมีฝีมือแต่ละด้านมาทำงาน ซึ่งจริงๆ ทุกวันนี้ช่างก่อสร้างส่วนใหญ่จะทำงานเหล็ก และงานปูกระเบื้องได้ค่อนข้างดี แต่จะอ่อนด้อยเรื่องช่างไม้ เพราะโครงสร้างปัจจุบันส่วนมากจะเป็นเหล็ก ไม่มีใครใช้ไม้ซึ่งหายาก และมีราคาแพง

ตกลงได้ช่างมาครบ ถามว่าค่าแรงแต่ละคนวันละเท่าไร? เมื่อรู้ราคาก็บอกไปว่าจะบวกเพิ่มให้คนเป็นหัวหน้าอีกวันละ 100 บาท ส่วนคนอื่นๆ ก็ลดหลั่นกันลงมา แต่อย่างน้อยก็ 30-50 บาท เนื่องจากคำนวณเอาเองว่างานต่อเติมห้องกว้างไม่ถึง 20 ตารางเมตรไม่น่าจะใช้เวลานาน

แต่มันกลับตรงกันข้าม งานเดินไปอย่างเชื่องช้าโดยเฉพาะในวันที่ต้องเดินทางออกจากบ้านไปเพื่อทำธุระปฏิบัติภารกิจต่างๆ กลับมาวันรุ่งขึ้นคนเฝ้าอพาร์ตเมนต์ข้างบ้านจะรายงานว่าเมื่อเจ้าของบ้านขับรถออกไปสักประเดี๋ยวเดียว คนงานอย่างน้อยก็หัวหน้าจะขี่จักรยานออกไป ตามด้วยเมียซึ่งมาทำงานอยู่ด้วยจะเดินทอดน่องไปซื้อเครื่องดื่มนั่นนี่ ดึงเวลากันให้หมดไปวันๆ เพื่อกินค่าแรง ทิ้งไว้แต่สองผัวเมียชาวกัมพูชาทำงานกันลำพังทุกวัน

แรกๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากได้พูดคุยกับหัวหน้าช่างจนสุกงอมดีแล้วว่าทำได้นะ ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องดูแลรับผิดชอบให้ดี ซึ่งเขารับปาก จึงให้ความไว้วางใจ เพราะพยายามซื้อใจ อย่างเช่น การเพิ่มค่าแรง และแม้กระทั่งขาดเหลือเรื่องวัสดุอะไรที่เราสั่งเอง แต่ยังไม่ครบซึ่งต้องใช้ด่วนก็ให้วิ่งไปซื้อซึ่งไม่เคยเอาเงินทอน มีทิปกันบ่อยมากๆ

ไม่รวมการเลี้ยงข้าวปลาอาหาร ตลอดจนเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งต้องดื่มกันทุกวัน

 

งานไม่คืบหน้าจนทนไม่ไหวไปเปิดกล้องวงจรปิดดูจึงได้เห็นเหมือนดังที่คนเฝ้าอพาร์ตเมนต์รายงานให้รู้ก่อนหน้านั้น

คิดว่าดูแลควบคุมการทำงานเองจะไม่มีเหตุการณ์เกเรเบี้ยวบูด ปล่อยให้ทำงานกันไปสบายๆ ไม่เร่งมากเกินไปเนื่องจากเกรงจะไม่สบอารมณ์ประเดี๋ยวจะเบี้ยวงานจะมีความเสียหาย แต่จนแล้วจนรอดมีคนทำงานอยู่แค่ 4-5 คนก็ยังอุตส่าห์โกงค่าแรง ส่งใบเบิกว่ามาทำงานกันทุกวัน ทั้งๆ ที่หยุดงานกันบ่อยมากเหมือนเป็นการทดลองดูซิว่าเราจะมีข้อมูลบ้างหรือไม่ พอจับได้ไล่ทันก็บอกว่าจำวันผิด ก็ลูกไม้ตื้นๆ

อันที่จริงกว่าจะเริ่มงานได้ในแต่ละวันก็ค่อนข้างสายมาก เกือบทุกวันวัสดุการก่อสร้างจะต้องขาด ทั้งๆ ที่สั่งไว้บ่อยมากว่าให้ดูว่าอะไรขาดให้บอกล่วงหน้า 1 วัน แต่มันก็มาบอกเอาตอนเช้าว่า ปูนซีเมนต์ขาด ปูนก่อกำแพง ก่อผนัง ปูนฉาบ ฯลฯ หมด ผลัดกันหมดเป็นอย่างนี้ทุกวัน รีบโทรศัพท์ไปขอร้อง (ซื้อ) ที่ร้านให้มาส่งด่วน แต่กว่าวัสดุก่อสร้างจะมาถึงก็ได้เวลาพักเที่ยงต้องเริ่มงานตอนบ่าย บางทีทนไม่ไหวรีบขับรถออกไปซื้อสิ่งที่ขาดใส่รถมาให้มันทันที

แต่ว่าเหล็กกล่อง เหล็กต่างๆ มาตรฐานมันยาว 6 เมตร ท่อน้ำพีวีซี ท่อน้ำไทย มันยาว 4 เมตร อิฐมวลเบา หิน ทราย (จำนวนมาก) มันใส่รถเก๋งไม่ได้

ถึงยังไงก็ต้องเสียเวลาไปอีก 1 วัน แบบนี้ฯ ไม่บานปลายก็ไม่รู้จะว่ายังไง?