ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กรกฎาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
เผยแพร่ |
คุณดอน ปรมัตถ์วินัย รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ แจ้งว่าได้พบกับ “ออง ซาน ซูจี”
และมีความหวังว่าจะเป็นความคืบหน้าทางบวกสำหรับความพยายามแสวงหาสันติภาพในประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันตกของเราแห่งนี้
ประเด็นที่ตามมาก็คือมีรายละเอียดการสนทนาที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทยบอกว่า “ยาวกว่าหนึ่งชั่วโมง” ที่จะเปิดเผยกับประชาชนคนไทยอย่างไร
เพราะข่าวนี้ไปเปิดที่การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่อินโดนีเซียระหว่างวันที่ 11-14 กรกฎาคมที่ผ่านมา
รายละเอียดที่ว่านี้มีความสำคัญสำหรับการที่จะส่งต่อให้กับรัฐบาลใหม่ของไทยในการประสานกับอาเซียนอื่นๆ โดยเฉพาะเจ้าภาพอินโดนีเซียเพื่อจะได้ให้รัฐบาลทหารพม่าได้ตระหนักว่าต่อไปนี้จะต้องทำงานร่วมกับอาเซียน
…มิใช่เพียงกับประเทศไทยเท่านั้น
เรื่องนี้มีความสำคัญเพราะการที่ไทยเราทำหน้าที่เป็น “สะพาน” เชื่อมระหว่างเมียนมากับอาเซียนนั้นถูกต้องแล้ว
แต่ท้ายที่สุดเราต้องหลีกเลี่ยงภาพที่ผู้นำทหารพม่าสามารถจะต่อสายได้เฉพาะกับรัฐบาลไทยเท่านั้น แต่จะไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการของอาเซียน
แบบนี้จะถูกมองว่าเป็น “การทูตแบบงุบงิบ” ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์และสถานภาพในอาเซียนสำหรับประเทศไทย
เพราะยังมีภาพว่ารัฐบาลทหารพม่าไม่ยอมให้ “ทูตพิเศษอาเซียนว่าด้วยกิจการเมียนมา” ทำหน้าที่ดั่งที่ระบุไว้ใน “ฉันทามติ 5 ข้อ” ของอาเซียน
การที่คุณดอนได้พบออง ซาน ซูจี ถือว่าเป็นผู้นำต่างประเทศคนแรกที่ได้พบเธอตั้งแต่รัฐประหารในพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021
คุณดอนแถลงข่าวนอกรอบการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศที่อินโดนีเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจากที่ได้พบซูจีนั้นยืนยันว่า
เธอ “มีสุขภาพดี”
หลังจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน คุณเกา คิม โฮร์น เลขาธิการอาเซียนบอกสื่อว่าคุณดอนได้รายงานว่าจากการพบกับออง ซาง ซูจี นั้น
“เธอมีสุขภาพแข็งแรงดี และแน่นอนว่าเธอสนับสนุนการเจรจาแบบมีส่วนร่วม”
ข่าวบอกว่าคุณดอนแจ้งกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนว่าการพูดคุยกับออง ซาน ซูจี “เป็นการพัฒนาในเชิงบวกและเป็นก้าวย่างไปในทิศทางที่ถูกต้องในการหาข้อยุติอย่างสันติต่อสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในเมียนมา”
ข่าวกระแสอื่นแจ้งว่าที่กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา คุณดอนได้พบกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด มิน อ่อง ลาย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
จึงมีการสันนิษฐานว่าคุณดอนคงได้พบกับออง ซาน ซูจี วันเดียวกับที่พบมิน อ่อง ลาย
คุณดอนบอกนักข่าวหลังการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนว่า “แนวทางอื่น” ที่รวมถึงการมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ประการ
นั่นหมายความว่าความพยายามของอาเซียนในการเรียกร้อง, กดดันและหว่านล้อมให้รัฐบาลทหารพม่ายอมทำตามฉันทามติ 5 ข้อที่ผ่านมาล้มเหลว
หนึ่งใน 5 ข้อนั้นรวมถึงการเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงโดยทันที
ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นได้
ตรงกันข้าม การปราบปรามกลุ่มต่อต้านและผู้เห็นต่างโดยกองทัพพม่ายังเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อาเซียนบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย, สิงคโปร์และมาเลเซียมีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อรัฐบาลทหารพม่าโดยขอไม่ยอมร่วมสังฆกรรมกับผู้นำทหารพม่าจนถึงวันนี้
อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ยืนยันว่าได้พยายามยื่นมือไปยังรัฐบาลทหารพม่ามาตลอด
โดยมีการติดต่อกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพม่ามากกว่า 110 ครั้งในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา
เรตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ “ไม่ใช่ปฏิบัติการที่ง่าย แต่กลับเป็นการเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก”
เธอกล่าวว่า งานนี้อินโดนีเซียในฐานะที่เป็นประธานอาเซียนปีนี้ควรมีบทบาทเป็น “บันไดขั้นแรก” เพื่อนำไปสู่ “การเจรจาที่ครอบคลุม” ในเมียนมา
และเพื่อ “วางแนวทางปิดช่องว่างของความแตกต่าง”
เธอย้ำว่า “ประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศเน้นความเป็นเอกภาพ”
เพราะรู้ดีว่ามีคนมองจากข้างนอกว่าประเด็นพม่าทำให้สมาชิกอาเซียนมีความระหองระแหงกันในหลายมิติ
ทับซ้อนด้วยความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจจีนและสหรัฐในภูมิภาคนี้ที่ทำให้สมาชิกอาเซียนเลือกยืนอยู่คนละข้างกันในหลายๆ กรณี
คุณดอนไม่ได้ระบุว่าได้พบกับออง ซาง ซูจี ที่ไหนและเมื่อไหร่
และไม่ได้บอกว่าฝ่ายทหารพม่ามีเงื่อนไขอะไรสำหรับการพบปะพูดคุยกับอดีตหัวหน้าพรรค NLD ที่ถูกนายพลอาวุโส มิน อ่อง ลาย โค่นและตั้งข้อหามากมายจนวันนี้มีโทษจำคุกหลายสิบปีแล้ว
ออง ซาน ซูจี วัย 78 ปี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่ต้องโทษจำคุก 33 ปี จากความผิดหลายกระทง หลังถูกจับกุมหลังรัฐประหาร
คุณดอนไม่ได้บอกว่าเธอจะต่อสู้คดีต่างๆ อย่างไร
และไม่ได้เล่าว่าเมื่อพรรคของเธอถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้านี้ จะมีโอกาสเจรจาสันติภาพกับฝ่ายทหารอย่างไร
หรือเธอมีเงื่อนไขอะไรที่จะเสนอผ่านประเทศไทยไปยังอาเซียน
ซูจีถูกควบคุมตัวอยู่ที่อาคารเสริมของเรือนจำในกรุงเนปิดอว์ และถูกห้ามเยี่ยมที่รวมทั้งทีมกฎหมายของเธอด้วย
แต่คุณดอนไม่ได้บอกว่าได้พบเธอที่นั่นหรือไม่และมีคนของรัฐบาลทหารพม่ามาร่วมในการสนทนาด้วยหรือไม่
คุณดอนอ้างว่าการพบกับซูจีเป็นไปตามแผนสันติภาพของอาเซียน
แต่ไม่ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่ามีความคืบหน้าในการทำตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนอย่างไร
เพราะตราบเท่าที่ยังไม่มีอะไรใหม่อาเซียนก็ยังมีมติห้ามบรรดานายพลของเมียนมาเข้าร่วมการประชุมระดับสูง
ออง ซาน ซูจี ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดหลายข้อหา ตั้งแต่การยุยงปลุกปั่นและการทุจริตการเลือกตั้ง ไปจนถึงการคอร์รัปชั่นและการละเมิดกฎหมายความลับของทางราชการ
แต่เธอยืนยันว่าเป็นข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ และจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
คุณดอนได้ใช้แนวทาง quiet diplomacy หรือ “การทูตเงียบ” ในการช่วยแก้ปัญหาระหว่างอาเซียนกับพม่า
ขณะที่สมาชิกอาเซียนบางชาติเห็นว่าการทูตแบบเงียบนั้นหากใช้แล้วได้ผลก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี
แต่เมื่อผู้นำทหารพม่าไม่ทำตามฉันทานุมัติ 5 ข้อของอาเซียนที่มิน อ่อง ลาย ไปร่วมประชุมและยอมรับในมตินั้นไม่ขยับไปในทิศทางที่เห็นผลเลย ก็จำเป็นต้องมีการทูตเชิงรุก หรือ proactive diplomacy เพื่อให้เห็นว่า “อาเซียนไม่ใช่เสือกระดาษ”
คุณดอนยืนยันว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในพม่าหนักกว่าประเทศอื่นๆ จึงมีสิทธิที่จะพยายามหาทางออกผ่าน “ช่องทางไม่เป็นทางการ”
เช่น การจัดให้มีการพูดจาอย่างไม่เป็นทางการที่เรียกว่า Track 1.5 โดยเชิญนักวิชาการและเจ้าหน้าที่มาตั้งวงคุยแลกเปลี่ยนเพื่อหาทางออก
โดยนอกจากคนจากอาเซียนแล้วก็ยังเชิญตัวแทนจากประเทศเพื่อนบ้านพม่า เช่น จีนและอินเดียมาร่วมวงด้วย
จัดที่ประเทศไทยและอินเดียสองครั้ง
ครั้งหลังสุดจัดที่พัทยาโดยเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลทหารพม่ามาเป็นแขกพิเศษ
กลายเป็นข่าวร้อนแรงเพราะคุณดอนเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนทั้งหมดมาด้วยเวลาค่อนข้างฉุกละหุก
รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย, สิงคโปร์และมาเลเซียออกมาประกาศไม่มาร่วมเพราะเกรงว่าจะเป็นการส่งสัญญาณผิดไปยังประชาคมโลกว่าอาเซียนยอมอ่อนข้อต่อการก่อรัฐประหารและการปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างอย่างรุนแรง
กลายเป็นประเด็นน่ากังวลว่าอาเซียนจะปริแยกเกินแก้
ล่าสุดเมื่อคุณดอนรายงานต่อที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนว่าได้พบออง ซาน ซูจี และมี “ข่าวดีมาบอก” แล้วก็ต้องต่อยอดและส่งลูกไปให้กับอาเซียนเพื่อจะได้พิสูจน์ว่า
ไทยไม่ถูกรัฐบาลทหารพม่าใช้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรม แต่ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการอาเซียน
เพราะอย่างไรเสีย คุณดอนก็ต้องส่งมอบ “ข่าวดี” นี้ไปให้กับรัฐบาลไทยชุดใหม่
…ที่จะต้องจัดระบบการทำงานร่วมกับเพื่อนเราในอาเซียนให้สอดคล้องต้องกับเป้าหมายร่วมกันให้จงได้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022