ปล้นเจ้า | เรื่องสั้น : แม่ร่วมบุญ

เรื่องสั้น | แม่ร่วมบุญ

ปล้นเจ้า

 

อีกไม่กี่วันจะถึงวันงาน กลิ่นธูปควันเทียนเครื่องหอมหลายชนิดรวมทั้งควันบุหรี่ กลิ่นเหล้าเบียร์ผสมผสานปรุงแต่งให้เป็นความขลังศักดิ์สิทธิ์ จะกลับมาปลุกเร้าอารมณ์อีกครั้ง

เครื่องทรงชุดเก่งพับเก็บไว้อย่างดีตั้งแต่ปีที่แล้วถูกหยิบออกมาสำรวจความเรียบร้อย รอยพับรอยย่นถูกลบด้วยฝ่ามือและการสะบัดซ้ำๆ การซักด้วยน้ำไม่มีผู้ใดเคยทำ

“ชุมชนทางหลวง” เป็นชุมชนขนาดใหญ่ใจกลางเมือง มีทั้งโรงพยาบาล โรงเรียนตั้งอยู่ หลายสิ่งหลายอย่างในชุมชนทางหลวงคือภาพลักษณ์ทึมเทาที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึง ทุกปีมีพิธีทรงเจ้าซึ่งเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่มีเจ้ามาจากทุกสำนักทั้งภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง

สองสามปีมานี้ เจ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้น มาจากเหนือสุด ใต้สุด ชื่อเสียงสำนักทรงเจ้าชุมชนทางหลวงกลายเป็นหอกระจายข่าวอย่างรวดเร็ว งานทุกปีตำรวจจราจรมาอำนวยความสะดวกตลอดตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ถนนทั้งสายถูกปิดกั้นด้วยแผงเหล็ก หนัง ลิเก แทบไม่มีใครสนใจ เต๊นท์เจ็ดหลังทั้งเจ้าและคนที่ไปหาเจ้าเบียดเสียดแน่นขนัด เสียงไอเพราะสำลักควันธูปเป็นเรื่องปกติ

“ร่างทรง” มีชีวิตไม่แตกต่างจากคนทั่วไป ใครที่มีสำนักทรงมีงานทรงช่วยค่าใช้จ่ายพออยู่ได้ ส่วนเจ้าที่มีศักดิ์น้อยก็ทำมาหากินด้วยการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงตัวไปวันๆ ไปเดินตลาดจะพบเห็นร่างทรงเข็นรถขายไอติม น้ำแข็งใส ลูกชิ้นปิ้ง ขนมถ้วย ขนมตาล อีกหลายอาชีพ การแต่งเนื้อแต่งตัว บางคนสวมเสื้อผ้าเก่าแสนเก่า

ก่อนงานหนึ่งวันฝ่ายจัดสถานที่ได้ตรวจตราความเรียบร้อย เครื่องไฟสำรองพร้อมเดินเครื่องถ้าไฟดับ ที่ประทับของเจ้าได้รับเชิญจากเจ้าภาพมีประจำทุกเต็นท์ แท่นบูชาเครื่องบูชา พานหมากพลูบุหรี่ เหล้า เครื่องดื่มชูกำลังครบทุกยี่ห้อ ขันน้ำมนต์ ตู้รับบริจาคตั้งประจำที่ เก้าอี้ตะปู บันไดดาบสูงเกือบสิบเมตร กระทะน้ำมันตั้งอยู่บนเตามีเฉพาะบางเต็นท์

ท้องฟ้ามืดครึ้มแต่เช้าตรู่ เมฆดำปื้นใหญ่เริ่มแผ่ขยายคลุมบริเวณจัดงาน ก้อนเมฆสีขาวนวลบางๆ ลอยอ้อยอิ่งผ่านเป็นระยะ หากไม่ดูนาฬิกาจะไม่รู้เลยว่าเกือบเก้าโมงเช้าซึ่งจะมีพิธีบวงสรวงเป็นการเริ่มงานอย่างเป็นทางการก่อนพิธีไหว้ครูในตอนกลางคืน

เจ้าผู้มีเกียรติหลายองค์เดินทางมาถึงก่อนพิธีไหว้ครูเริ่มทยอยลงทรงกันบ้างแล้ว บางองค์ยังอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลจึงนอนหลับพักผ่อนเก็บแรงไว้ตอนกลางคืน แม่ค้ารถเข็นส่วนใหญ่พวกขาประจำรู้งานเป็นอย่างดีเข้ามาจับจองที่ ไม่เฉพาะแต่หน้าจอหนัง หน้าโรงลิเก ฟ้ายังไม่เปิด

คนที่เป็นทุกข์มากสุด กลัวงานจะล่มคือพวกแม่ค้าขายของในงาน ธงแดงจากพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงคนรู้จักกว้างขวางด้านอาคมครอบจักรวาล ในจังหวัดไม่มีใครไม่รู้จัก มีประสบการณ์ห้ามฟ้าห้ามฝนได้ผลชะงัดโดยไม่ต้องรบกวนต้นตะไคร้ถูกนำขึ้นไปผูกบนยอดไม้ต้นสูงที่สุด

หนึ่งทุ่มสิบเก้านาที แตรวงเล่นเพลงมหาฤกษ์ เจ้าภาพในชุดเครื่องทรงเต็มยศสีสันฉูดฉาดแวดล้อมด้วยลูกศิษย์ทยอยเดินมาที่ปะรำพิธี ตอนนี้ไม่มีใครคิดถึงฝน

ลูกศิษย์หยิบกำธูปมาฉีกพลาสติกออกแล้วจ่อไปที่ตะเกียง ขณะที่รอให้ธูปติดทุกดอก เสียงซุบซิบส่งต่อกันเป็นทอดๆ “ห้าสิบเก้าดอก” เสียงแรกว่า เสียงต่อๆ เคลื่อนไปเป็นทอด “ห้าสิบห้า” และเมื่อเสียงท้ายสุดของกลุ่มบอกว่า “สามสิบเก้า” กลุ่มสลายออกไปอย่างรวดเร็ว เกิดกลุ่มย่อยขึ้นอีกหลายกลุ่มแต่ละกลุ่มได้เลขของใครของมัน

ลมกระโชกขึ้นอย่างแรง กำธูปติดไฟพรึบ เสียงใบไม้ดังกราวแล้วสงบลงช่วงเวลาสั้นๆ ธูปยังติดไฟอยู่จึงต้องถอนกลับลงมาดับแล้วปักกลับตามเดิม

“ขนลุกเลย” มีเสียงแทรกขึ้นมา

จากนั้นก็ระงมไปทั่วบริเวณงาน บรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มขึ้น เสียงลิเกออกแขกกับเสียงจากลำโพงหน้าจอหนังดังเกือบพร้อมกันแต่ไม่เป็นอุปสรรคกับบรรดาผู้คนที่เบียดเสียดอยู่ในเต๊นท์ซึ่งเจ้ากำลังทยอยประทับทรง เนื่องจากมีเจ้ามาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากกว่าทุกปี แท่นประทับสมฐานะมีไม่เพียงพอ เจ้าที่ไม่ถือองค์ก็ประทับทรงได้แม้เพียงบนเก้าอี้ตัวเดียว บรรดาลูกช้างรู้สึกเลื่อมใสองค์ไหนก็เข้าไปขอพร

“การเข้าหาเจ้านั้นต้องพินิจดูรายละเอียดขณะลงทรง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนด้วย” นี่เป็นคำบอกกล่าวพร้อมสรุปของคนที่น่าจะมีประสบการณ์โชกโชนจริง

การเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติเกิดขึ้น คนที่อยู่ในเต็นท์และนอกเต็นท์เดิน-วิ่งสวนกันไปมาพร้อมกับส่งเสียงสอบถามแซดไปหมด สักครู่หนึ่งกลุ่มคนเริ่มเทไปทางเดียวกัน เมื่อจับทิศทางได้

เต็นท์ที่อยู่ริมสุดกำลังมีบางอย่างน่าตื่นเต้น

เจ้าที่อยู่ในร่างทรงของหญิงรูปร่างผอมบางคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตะปูเด้งขึ้นเด้งลงในขณะที่ลูกศิษย์ตักน้ำมันเดือดเทราดบนตัว กลิ่นน้ำมันฟุ้ง บางคนต้องเอามือปิดจมูกทำหน้าเหยเก “เหม็นหืนๆ เวียนหัว” คนข้างๆ รีบปราม “พูดดังไปเดี๋ยวโดนดี” พอรู้สึกตัวก็สำนึกผิดด้วยการยกมือไหว้กล่าวขอขมาเป็นพัลวัน เจ้ากำลังอาบน้ำมันเดือดหันชำเลืองตาดูนิดหนึ่งและไม่สนใจอีกต่อไป ทำเอาหลายคนหนาวใจไปตามๆ กัน ไม่มีใครกล้าแม้แต่กระแอม

ข้างนอกเต็นท์มีการเคลื่อนไหววูบวาบอีกแล้ว ชั่วประเดี๋ยวฝูงชนแห่ตามกันไปรวมอีกเต็นท์ทั้งที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทิ้งทางนี้ให้เจ้ากับลูกศิษย์ซึ่งยังไม่เสร็จพิธีต้องรวบรัดเร็วขึ้น

มีดดาบยาวเกือบเมตร ส่วนที่เป็นตัวดาบสีมอๆ ปลายดาบเจาะร้อยด้วยพู่แดง ส่วนด้ามนั้นแกะลวดลายประแจจีนสีน้ำตาลไหม้ ผูกปลายด้ามด้วยผ้าแพรสีชมพูหม่น

มันถูกพาดกดลงบนลิ้น ค่อยๆ เลื่อนถอยตามแรงดึงและกดของมือ

เลือดปลิ้นชุ่มคมดาบซึ่งจะใช้แทนหมึกสีแดงเพื่อเขียนตัวอักษรลงบนแผ่นกระดาษสีเหลืองขนาดฝ่ามือ พอเขียนเสร็จก็จะมีมือยื่นเข้ามาพร้อมส่งเสียงเซ็งแซ่แย่งกันชุลมุน

เจ้าองค์นี้แต่งตัวด้วยชุดสีดำไม่มีลวดลายบนตัวผ้า

หากเข้าไปเดินปะปนอยู่ในกลางฝูงชนแทบไม่มีอะไรเป็นที่สังเกตหรือมีจุดเด่นสะดุดตาตรงไหน เว้นแต่บนศีรษะที่ผูกไว้ด้วยผ้าสีแดงเข้มจนใกล้เป็นสีดำเข้าไปทุกที ความสมถะเรียบง่ายให้บริการถึงที่ไม่ว่าจะเจิมหน้าผาก เจิมรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ เป็นที่รู้กันอยู่ทุกปี คนมีรถก็เตรียมมาจอดรอได้เลย

แต่การเจิมรถจะไม่ใช้เลือด ลูกศิษย์จัดเตรียมหมึกสีแดงเดินนำไปตามจุดต่างๆ โดยดูสัญญาณมือเป็นหลัก…

 

หนังเลิกแล้ว คนเก็บจอกับเครื่องฉายทำงานอย่างเงียบเหงา แม่ค้าเดินไปดึงปลั๊กม้วนสายไฟเตรียมย้ายที่ขาย บางส่วนทยอยกลับ หน้าจอเหลือเพียงแสงสว่างจ้าจากสปอตไลต์ กระดาษหนังสือพิมพ์ ขวดน้ำแก้วน้ำพลาสติกเป็นของมีค่าสำหรับชีวิตติดดิน ที่เหลือเป็นหน้าที่ของคนกวาดขยะเทศบาลมาตอนใกล้รุ่ง ลิเกใกล้จบฉากสุดท้าย

หลังจากประทับนั่งตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเกือบเที่ยงคืน ทุกปีผ่านมาจะเป็นเวลาส่วนตัว เจ้าทุกองค์ลุกออกมายืดเส้นยืดสาย ทำธุระส่วนตัว เต้นรำไปตามจังหวะเพลง เนื่องจากฐานะของเจ้าแตกต่างกัน พวงมาลัยคล้องคอจึงเป็นเครื่องแบ่งแยกข้อนี้

เจ้าบางองค์นั่งติดแบงก์ของตัวเองไม่เสร็จยังอุตส่าห์ขยับหัวขยับขา ยักเอวยักไหล่อย่างอารมณ์ดี กองเชียร์ปรบมือให้จังหวะ ที่คุ้นเคยรู้อัธยาศัยกันดีก็เข้าไปฉุดรั้งให้เจ้าลุกขึ้นออกไปร่วมเต้นกับเจ้าองค์อื่นๆ

“เดี๋ยวสิลูก ยังไม่เสร็จเลย” พร้อมกับเปิดกระเป๋าหยิบสร้อยคอกับสร้อยข้อมือทองออกมาสวมใส่ แววตาบ่งบอกความภูมิใจ เกือบทั้งหมดมีทองและพวงมาลัยเงินสด ไม่กี่องค์ดูซอมซ่อแม้แต่เครื่องแต่งองค์แค่ชุดขาวธรรมดา เจ้าศักดิ์น้อยพวกนี้ขณะลงทรงต้องทำตายิบๆ คล้ายมีผงเข้าตา

เป็นธรรมเนียมทุกปี เจ้าภาพจะจัดพวงมาลัยติดแบงก์ร้อยหนึ่งใบมาคล้องให้

การรอคอยให้วันนี้มาถึงเป็นการรอด้วยหัวใจจดจ่อถวิลหา หนึ่งปีเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ยุคสมัยก้าวไกลทิ้งเกวียนไว้ข้างหลังสุมกองเป็นซากไม้ผุเพื่อสัมผัสความเร็วของยานพาหนะความเร็วเหนือเสียง เครื่องส่งโทรเลขถูกยกเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งความเงียบเหงา การพยากรณ์โชคชะตาและการสืบค้นเลขเด็ดผ่านการตอบสนองโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ เหล่านี้คือเหตุผลสำคัญที่คนทรงเจ้าต้องทำงานหนักเพื่อรับมือ

การชุมนุมเจ้าของที่นี่ยังคงความยิ่งใหญ่อลังการอยู่ได้ นับว่ามหัศจรรย์ที่สุด

เจ้าภาพไม่จำเป็นต้องจ้างสื่อหรือปล่อยรถออกโฆษณาประชาสัมพันธ์คันละ 600-800 บาทต่อวัน เมื่อใกล้เดือนพฤษภาคม ข่าวจะถูกส่งผ่านจากปากต่อปาก คนที่มีความศรัทธายินดีเรียกตัวเองว่าลูกศิษย์จำนวนมาก สนับสนุนทั้งเงินทองของใช้จำเป็นในการประกอบพิธีเพียงเพื่อความสุขใจหรือบางทีเคยพบกับประสบการณ์ตรงมาแล้ว

เวลาเที่ยงคืนหรืออาจเลยไปบ้างนิดหน่อยนั่นคือเวลาที่ทางเจ้าภาพกำหนดให้เป็นเวลายุติกิจกรรมชุมนุม และถึงเวลานั้นแล้ว

บรรดาเจ้ายังไม่มีท่าทีจะยุติ เสียงแตรวงบรรเลงเพลงจนอารมณ์เจ้ากระเจิดกระเจิง พวกที่ไม่ไหวจริงๆ นั่งคอพับคออ่อนหลับไปบนเก้าอี้ ส่งเสียงกรนครืดๆ

ฟ้าคำรามมาจากที่ไหนสักแห่งหลัง แสงแวบพาดท้องฟ้าวาบหายไปและคำรามถี่ขึ้น

“ตกลงมาเลย ไม่กลัวแล้ว” เสียงท้าทายเทวดาดังแทรกสรรพสำเนียง ฝนตกกระทบหลังคาเต็นท์สองสามเม็ดและเงียบไปจนอึดใจใหญ่มันเปาะแปะลงมาอีกบางๆ

ผู้คนเริ่มขยับเขยื้อน เสียงสตาร์ทรถเครื่องดังแข่งกัน รถยนต์หลายคันเดินหน้าถอยหลังหาทางกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาอำนวยความสะดวกถอนกำลังกลับไปหมดแล้ว รถของคณะลิเกวิ่งอ้อยอิ่งตามกันออกมาผ่านเต็นท์ คนบนรถโบกมืออำลาพร้อมกับเสียงแตรรถทั้งสองคันเพื่อแสดงความคารวะ

“ขอให้มีความสุขสวัสดี” เจ้าบางองค์อวยชัยให้พรขณะเดินขาปัด

เม็ดฝนกระทบหลังคาเต็นท์ถี่ขึ้นอีกครั้ง

ลมกระโชกแรง

เสียงหวีดหวิวเหมือนอั้นไม่อยู่

ไฟฟ้าดับๆ ติดๆ หลายครั้ง

 

เจ้าเริ่มมีสีหน้ากังวลเพราะบางองค์ต้องกลับคืนนี้โดยเฉพาะที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด แต่ไม่ร้อนใจเท่าเจ้าอยู่ในท้องที่ ซึ่งเดินมา

เจ้าภาพให้คนเอาเทียนไขใส่ถาดมาวางไว้เนื่องจากเครื่องปั่นไฟสำรองถูกขนกลับไปพร้อมรถลิเก

“เผื่อไฟดับ” พูดด้วยน้ำเสียงเอื้อเฟื้ออย่างผู้มีประสบการณ์ เจ้าที่ยังติดฝน ถึงไม่มีเสียงเพลงเพราะนักดนตรีทยอยกลับกันหมดเหมือนกัน เสียงเม็ดฝนโปรยปรายหนาเม็ดขึ้นเหมือนรู้ใจ มันตกกระทบหลังคาเต๊นท์ราววงดุริยางค์วงใหญ่มาบรรเลงถวายเนื่องในโอกาสสำคัญ ความวิตกกังวลเริ่มปรากฏทุกสีหน้า ไม่แต่เฉพาะเจ้าต่างถิ่น

น้ำฝนไหลลงจากชายคาไล่ต้อนคนไปยืนเบียดเป็นกระจุก

มอเตอร์ไซค์ 4-5 คันมีคนซ้อนท้ายครบทุกคันวิ่งเสียบเข้ามาหลบฝนโดยไม่ดับเครื่อง ควันจากท่อไอเสียฟุ้งกระจายทั่วบริเวณแต่ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากเพราะผู้มากับสายฝนแห่งรัตติกาลล้วนเป็นชายฉกรรจ์แปลกหน้า ยืนมองกวาดสายตาไปรอบเต็นท์ บางคนควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ

“อะไรของมันวะ แค่ควันรถ พวกกูก็แทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว สะกดคำว่าเกรงใจไม่เป็นเลยหรือไง”

เสียงผู้หญิงเล็ดลอดออกมา พยายามบีบเสียงให้เบาที่สุด ในยามนี้หากมีเรื่อง หวังพึ่งใครคงไม่ได้เพราะผู้ที่ประสบชะตากรรมเดียวกันแทบไม่มีผู้ชายเลย

เป็นธรรมดาของผู้ที่นิยมการทรงเจ้า ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเสมอ หากฝนเบากว่านี้อีกสักหน่อยก็จะยอมฝ่าออกไป

ไฟนีออนห้อยอยู่ตามชายคา บางดวงมีควันพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นจนหลายคนทำหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนที่เกาะอยู่ภายในเต็นท์แกว่งโยนตามแรงลมน่าหวาดเสียวจะหล่นลงมา มันยังพยายามทำหน้าที่ส่องแสงสว่างไปตามปกติของมัน ช่วยให้พออุ่นใจได้บ้าง

พวกนั้นชะเง้อคอกวาดสายตาซอกแซกเข้าไปตามกลุ่มคนคล้ายค้นหาพรรคพวกหรือคนรู้จัก เป้าหมายที่ถูกจับตาเป็นพิเศษคือเจ้าแต่ละองค์ซึ่งยังอยู่ในชุดเครื่องทรงเต็มยศสะดุดตาถูกแวดล้อมด้วยเหล่าศิษยานุศิษย์ พวกนั้นแยกกันกระจายออกไปยังเป้าหมายประกบตัวต่อตัว

“ลูกช้างขอความกรุณาช่วยปลดทองส่งให้ลูกด้วยเถิดขอรับ”

ตอนนี้ทุกคนกระจ่างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้า – หลังจากนั่งสงบเสงี่ยมอยู่พักใหญ่เริ่มโยกตัว เกร็งสั่น ส่งเสียงครืดๆ ในคอเหมือนเสียงเสือคำราม

“เอาเหล้ามากลั้วคอสักหน่อย…ลูกเอ้ย…” เหล้ากับเจ้าเป็นของคู่กันเสมอ

แต่ขณะนี้ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่น้ำเปล่า

“ไอ้พวกนี้เดี๋ยวซวย” พวกลูกศิษย์ออกอาการเป็นห่วง

คนหนึ่งเดินมาตามหาเจ้าของเสียง

ฟ้าแลบสว่างจ้าตามด้วยเสียงครืน…ไฟนีออนแกว่งแรงขึ้นอย่างน่ากลัว อึดใจต่อมาไฟฟ้าดับมืดอีก มองออกไปนอกเต็นท์เห็นเมฆขาวขุ่นลอยลิ่วๆ ผ่านหลังคาโรงพยาบาลเป็นหย่อมๆ สายฝนพุ่งตัดกับแสงสว่างรำไรจากที่อื่นราวเกล็ดเพชรร่วงจากท้องฟ้า

แสงสว่างจากโรงพยาบาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย

เสียงด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย วิงวอนขอร้องและข่มขู่ – ขัดขืน ดังระรัวในความมืดระทึก

หลายคนไม่กลัวฝนและสายฟ้าที่กำลังอาละวาดหนักอีกต่อไปเมื่อได้ยินเสียงตะคอก

“ขอดีๆ ไม่ให้เดี๋ยวยิงสมองแตก”

ทุกอย่างเงียบกริบ แต่เสียงฟ้ายังคำรามต่อไป

บางคนมองหาช่องทางเพื่อให้รอดพ้นค่ำคืนอันแสนน่ากลัวนี้ออกไป

เงาตะคุ่มๆ ทยอยเคลื่อนตัวออกไปจากเต็นท์เหมือนแมลงเม่าคลานออกจากรู เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่สายฝนกระหน่ำลงมาเหมือนฟ้าแยก แรงลมโถมเข้ากระแทกเต็นท์กระพือพับๆ ขาลอยพ้นจากพื้นอยู่หลายครั้ง แข่งกับหัวใจเต้นระทึกของคนเหล่านั้น

พยายามมองหาเจ้าที่อาบน้ำมันเดือดๆ เมื่อตอนหัวค่ำ

เจ้าที่ปีนขึ้นบันไดดาบเมื่อตอนหัวค่ำ

ประทับอยู่ตรงไหน

เสาเหล็กยกขึ้นแล้วกระแทกพื้นปึงๆ บ่อยขึ้น

“เจ้าปะคู้น…เทพยดาฟ้าดินอย่าพิโรธนักเลย”

การไหว้วอนเปลี่ยนจากเจ้ามาเป็นเทวดาอย่างไม่เกรงใจเจ้าซึ่งกำลังประสบชะตากรรมเช่นไรไม่มีใครรู้…

 

เสียงเร่งเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ก่อนซึมหายไปท่ามกลางสายฝนโดยมีเสียงสาปแช่งตะโกนไล่หลังตามด้วยเสียงสอบถามถึงสวัสดิภาพแต่ละคน

“ขอบคุณเหลือเกิน เจ้าองค์ไหนไม่รู้ช่วยลูกช้างไม่ให้ถูกพวกมันฆ่า”

เกือบทุกคนยกมือพนมท่วมหัวรำลึกบุญคุณ

ฝนยังหยุดไม่สนิทดี ไฟฟ้าสว่างขึ้น เดชะบุญ ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย นอกจากขวดต่างๆ แก้วน้ำตกแตกกระจัดกระจาย

เครื่องประดับที่เป็นทองคำของเจ้าตั้งแต่สร้อยคอ

สร้อยข้อมือ

แหวน

พวงมาลัยเงินสด

เหลือแต่ดอกไม้ฉีกขาด เรี่ยราดอยู่ตามพื้นแฉะน้ำ ของมีค่าเคยเป็นอาภรณ์เสริมความเป็นสง่าราศีมายาวนานใส่ออกงานนับร้อยครั้ง มันถูกพรากไปจากตัวจนหมดสิ้น

ในยามนี้ความสูญเสียได้เกิดขึ้นแบ่งกันไปทั่วถ้วน ไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ไม่เว้นไว้หน้าใครทั้งนั้น ชั่วไม่กี่นาที ปฏิบัติการเปิดหน้าปล้น ก็ผ่านไปอย่างราบรื่น

เว้นแต่เจ้าองค์หนึ่งนั่งสงบเสงี่ยมตั้งแต่ก่อนไฟฟ้าดับจนไฟฟ้าติดยังนั่งเหมือนเช่นเดิมเพื่อรอให้ฝนหยุดสนิท

เครื่องทรงสีดำทึมทึบปราศจากลวดลายและอาภรณ์มีค่าใดๆ ประดับ

นอกจากผ้าแดงจนเกือบดำที่พันรอบศีรษะกับมีดดาบเก่าๆ วางพาดบนตัก

ฝนน่าจะหยุดสนิทแล้ว •