จัดอันดับขีดแข่งขันไทยดีขึ้น เจาะไส้ใน…รบ.ตู่อย่าเพิ่งดี๊ด๊า ‘การศึกษา’ – ‘สิ่งแวดล้อม’ ยังถ่วง

บทความเศรษฐกิจ

 

จัดอันดับขีดแข่งขันไทยดีขึ้น

เจาะไส้ใน…รบ.ตู่อย่าเพิ่งดี๊ด๊า

‘การศึกษา’ – ‘สิ่งแวดล้อม’ ยังถ่วง

 

เป็นข่าวน่ายินดี เมื่อสถาบันการจัดการนานาชาติ (ไอเอ็มดี) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2566 ประเทศไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ในอันดับ 30 จาก 64 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ปรับดีขึ้น 3 อันดับ จากอันดับที่ 33 ในปีที่แล้ว มีผลคะแนนสุทธิดีขึ้นมาอยู่ที่ 74.54 จาก 68.67 ในปีที่แล้ว

ซึ่งเรื่องนี้…แน่นอนต้องถูกนำไปรายงานในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ผ่านมา โดยโฆษกรัฐบาลได้ประกาศว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความยินดีและขอบคุณกับผลการจัดอันดับครั้งนี้

หากย้อนไปดูผลการจัดอันดับเมื่อปีก่อน ไทยทำผลงานได้แย่สุด ร่วงหล่น 5 อันดับ อยู่ที่ 33 ของโลกจากเคยจัดอันดับ 28 ในปี 2564 ดังนั้น การกลับมาในปีนี้ ในอันดับ 30 ถือว่าเข้าใกล้ตำแหน่งเดิมที่เคยร่วงไป

ซึ่งไทยเคยครองอันดับดีที่สุดเมื่อปี 2562 อันดับ 25 จากช่วงปี 2555-2561 อยู่ในอันดับ 27-30

 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัจจัยในการจัดอันดับ ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นจากปีที่แล้วในทุกด้าน โดยด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) อยู่ที่อันดับ 16 ปรับตัวดีขึ้นถึง 18 อันดับ สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ และการค้าระหว่างประเทศ ส่วนด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ภาพรวมมาอยู่ที่อันดับ 24 ในปี 2566 ขยับขึ้นจากปี 2565 ถึง 7 อันดับ สาเหตุหลักกรอบการบริหารภาครัฐ และกฎหมายธุรกิจ

สำหรับด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ภาพรวมอยู่ที่อันดับ 23 ดีขึ้นจากปี 2565 ถึง 7 อันดับ สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ

ขณะที่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ภาพรวมมาอยู่อันดับ 43 ขยับขึ้นเพียง 1 อันดับ จากปีก่อน สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยโครงสร้างด้านเทคโนโลยี แต่ยังมีประเด็นสำคัญที่ไทยต้องเร่งพัฒนา คือปัจจัยเรื่องการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมที่อันดับลดลง

ปัจจัยเรื่องการศึกษา ไทยอยู่อันดับ 54 ลดลง 1 อันดับจากปีก่อน เช่นเดียวกับเรื่องโครงสร้างวิทยาศาสตร์ อยู่อันดับ 39 ลงไป 1 อันดับ ขณะเรื่องสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมไทย หล่นไป 2 อันดับ อยู่ที่ 53

ปัจจัยด้านการศึกษา ถือว่าถูกจัดอันดับรั้งท้ายมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน โดยปี 2561-2562 อันดับคงที่ ลำดับที่ 56 ปี 2563 ดีขึ้น 1 อันดับ และกลับไปอันดับ 56 ในปี 2564 ขณะที่ปี 2565 อันดับดีขึ้น อยู่ที่ 53 และหล่นไปอยู่ 54 ในปีนี้

 

สําหรับประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ปี 2566 ใน 10 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 คือเดนมาร์ก ครองแชมป์ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน ส่วนอันดับ 2 คือไอร์แลนด์ ขยับขึ้นมามากสุดถึง 5 อันดับจากปีที่แล้ว อันดับ 3 สวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 4 สิงคโปร์ อันดับ 5 เนเธอร์แลนด์ อันดับ 6 ไต้หวัน อันดับ 7 ฮ่องกง อันดับ 8 สวีเดน อันดับ 9 สหรัฐอเมริกา และอันดับ 10 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

หากเปรียบเทียบกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีเพียง 5 ประเทศที่อยู่ใน 63 อันดับ และอันดับ 1 คือ สิงคโปร์ โดยอยู่ลำดับโลกสูงสุดในภูมิภาคที่อันดับ 4 รองลงมาคือ มาเลเซียอันดับ 27 ไทยอันดับ 30 อินโดนีเซียอันดับ 34 และฟิลิปปินส์อันดับ 52 ตามลำดับ

โดยอินโดนีเซียมีอันดับดีขึ้นมากที่สุดถึง 10 อันดับ จากปัจจัยด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นถึง 16 อันดับ

ขณะที่มาเลเซียขยับอันดับดีขึ้นถึง 5 อันดับ จากปัจจัยด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจเช่นกัน

 

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า อันดับขีดความสามารถของไทยที่ไอเอ็มดีประกาศมา สะท้อนการทำงานของรัฐบาล ทั้งในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ การลงทุนที่รัฐบาลทำงานต่อเนื่องมาโดยตลอด ตัวเลขที่ออกมาจึงสะท้อนชัดเจนโดยเฉพาะในเรื่องของอันดับสมรรถนะทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นถึง 18 อันดับซึ่งเป็นการทำงานในปีที่ผ่านมา

ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ มีมุมมองถึงการขยับอันดับขึ้นมา 3 อันดับของไทย แม้ดูไม่เยอะ และยังคงอันดับ 3 ในอาเซียนเหมือนเดิม แต่ถ้าดูในรายละเอียด ปัจจัยด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ อันดับไทยกระโดดขึ้นมาถึง 18 อันดับ นั่นหมายถึงสิ่งที่ต่างประเทศมองประเทศไทย ด้วยการทำงานในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างความมั่นใจ และทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแรงอยู่

ในแง่ประสิทธิภาพของภาครัฐ ก็ขึ้นมา 7 อันดับ โดยเฉพาะเรื่องฐานะการคลัง ที่มีวินัยในการคลังดี เพราะฉะนั้น ก็ต้องเร่งเดินหน้าต่อไป ส่วนในแง่ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ก็ขยับขึ้นมา 7 อันดับเช่นกัน แต่สิ่งที่มันขยับน้อยมากก็คือเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของระบบสาธารณูปโภค แต่สิ่งที่อันดับของไทยยังอยู่ท้ายๆ คือโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการศึกษา ซึ่งยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ

นอกจากนี้ ในปัจจัยย่อย อย่างนโยบายด้านภาษี ที่ไอเอ็มดียังมองว่าเป็นปัญหา คือเรื่องของฐานภาษีที่ประเทศไทยไม่สามารถขยายได้มากขึ้น จากที่ทราบกันว่าในระบบภาษีไทยมีผู้ยื่นแบบเสียภาษีบุคคล อยู่ที่ 11 ล้านคน แต่จ่ายจริงประมาณ 3-4 ล้านคน การที่จะทำสวัสดิการถ้วนหน้าได้ไทยต้องมีฐานะการเงินการคลังที่เข้มแข็งมากกว่านี้ การจัดเก็บรายได้ต้องมากกว่านี้

นั่นหมายถึงว่าฐานภาษีอาจจะต้องกว้างกว่าที่เป็นอยู่ ต้องดึงให้เข้ามาอยู่ในระบบ แล้วก็ต้องทำในเรื่องของการเสียภาษีให้เป็นหน้าที่ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ควรจะต้องหลีกเลี่ยง

เลขาฯ สภาพัฒน์กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ในเรื่องที่ยังไม่ดี อย่างโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องการศึกษาควรต้องปรับโครงสร้างการศึกษาใหม่ ต้องมีแพลตฟอร์มที่ให้การศึกษาไทยสามารถผลิตคนให้ดีขึ้น เพราะเป็นสิ่งสะท้อน ผลิตภาพแรงงาน ที่ของไทยยังไม่ค่อยดีนัก เพราะฉะนั้น ต้องพยายามฝึกทักษะ สร้างแรงงานให้มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งก็ต้องทำผ่านระบบการศึกษา

ส่วนโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและพัฒนา ขณะนี้ไทยก็มีการทำงานมากขึ้น เพียงแต่อันดับยังไม่เด้งขึ้นมา ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ ไทยยังไม่ได้มีปัญหา แต่ยังมีเรื่องที่ไม่ดีขึ้นเท่าไร คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องฝุ่น PM 2.5 ที่แก้ไม่ตกหลายปีแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องช่วยกันเดินหน้าทำให้ดีขึ้นในอนาคต

ขีดแข่งขันไทยขยับขึ้นถือว่าเป็นเรื่องดี แต่อย่าประมาท โดยเฉพาะปัญหาด้านการศึกษายังเป็นโจทย์ที่แก้ไม่ได้

หากไม่รีบพัฒนาให้ตรงโจทย์ ระวังเพื่อนบ้านจะแซงหน้า