ไทม์ไลน์ฟอร์มรัฐบาล | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ถือว่าผิดคาดมาก เมื่อ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ “กกต.” ที่มี “อิทธิพร บุญประคอง” เป็นประธาน ประชุมเต็มคณะ มีมติเคาะให้ความเห็นชอบประกาศรับรองผลเลือกตั้ง “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

“ปล่อยผี” ยกป่าช้า ทั้งระบบเขตเลือกตั้ง 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ล็อตเดียวเหมาเข่งทั้งหมด 500 คน กระบวนการหลังจากนี้ “กกต.” ยังมีอำนาจการสืบสวน ไต่สวนตามมาตรา 138

หากมีหลักฐานเชื่อได้ว่าได้รับเลือกตั้งมาโดยไม่สุจริต จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี ทั้งนี้ การที่ “กกต.” ประกาศรับรองผลไปก่อน เนื่องจากกระบวนการสืบสวนสอบสวนผู้ถูกร้อง ดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายใน 60 วัน เพราะมีการอ้างพยานหลักฐานเข้ามาจำนวนมาก โดยในจำนวน ส.ส. 400 เขต พบว่า ที่ไม่มีเรื่องร้องเรียนคัดค้านการเลือกตั้ง 318 คน ถูกร้องคัดค้าน 82 คน

เท่ากับว่า การเลือกตั้ง “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” สวมบท “หลวงพ่อทันใจ” ประกาศรับรองผลก่อนครบเกณฑ์กำหนดภายใน 60 วัน ก่อนเส้นตายคือวันที่ 13 กรกฎาคม ศิโรราบโดยรวม 26 วัน

และเป็นการรับรองผลปล่อยผีแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม จากนั้นว่าที่ ส.ส.มารับหนังสือรับรองตั้งแต่วันที่ 20-24 มิถุนายน เพื่อไปรายงานตัวต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตามขั้นตอนต่อไป

ต้องขอคารวะฮ่องเต้ ให้กับ “กกต.” ที่ช่วยกระชับเวลา ไม่ให้การจัดตั้งรัฐบาลยืดเยื้อ ลากยาว มีผลเสียหายต่อประเทศชาติโดยรวม ลำดับถัดไป ภายใน 15 วัน “สภาผู้แทนราษฎร” จะเปิดประชุมนัดแรก เพื่อเลือกประธานสภา และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ยกระดับเข้าโหมดสุดท้ายคือ โหวตเลือกบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ตามช่องทางแห่งมาตรา 88 ที่กำหนดไว้ว่า “เป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร”

“บัญชีชื่อ” ที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 5 ที่ต้นสังกัดแจ้งไว้ ที่ผ่านการตัดตัว มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 9 ราย คือ 1. “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ก้าวไกล 2. “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” 3. “นายเศรษฐา ทวีสิน” 4. “นายชัยเกษม นิติสิริ” เพื่อไทย 5. “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” ภูมิใจไทย 6. “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พลังประชารัฐ 7. “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” 8. “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รวมไทยสร้างชาติ และ 9. “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ประชาธิปัตย์

หัสเดิมตามไทม์ไลน์คาดหมายกันว่า รัฐบาลใหม่น่าจะลงเอยแล้วเสร็จในช่วงต้นเดือนสิงหาคม แต่เมื่อ “กกต.” ติดเบอร์โบ ประกาศรับรองผลเร็วกว่ากรอบเกือบเดือน การฟอร์มรัฐบาลมาบริหารประเทศ น่าจะสำเร็จเรียบร้อยภายในเดือนกรกฎาคม

“ไทม์ไลน์ฟอร์มรัฐบาล” น่าจะลงเอยตามนี้ 28 มิถุนายน วันสุดท้าย ส.ส.ใหม่รายงานตัว 6 กรกฎาคม เปิดประชุมสภาเลือกประธานสภา-รองประธานสภา 13 กรกฎาคม ประชุมรัฐสภา โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 21 กรกฎาคม แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 30 กรกฎาคม คณะรัฐมนตรีใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณ

 

“สวรรค์มีกฎ โลกมีเกณฑ์ ทุกอย่างอยู่ที่ฟ้าลิขิต” ตามตรรกะ โดยกติกาและมารยาท พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้ง บุคคลที่มีเสียงสนับสนุน กุมเสียงข้างมาก ต้องได้เป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาล และ “แคนดิเดต” พรรคเบอร์ 1 ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ต้องหยิบชิ้นปลามัน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เพราะมีพรรคการเมืองให้การสนับสนุนมากถึง 8 พรรค ฐานเสียงมากถึง 312 ที่นั่ง มากกว่ากึ่งหนึ่งถึง 62 เสียง มากกว่าข้างหนึ่งที่จะเป็นฝ่ายค้านถึง 124 เสียง

แต่มีมารผจญ ชนกำแพง “บทเฉพาะกาล” ใช้หลักเกณฑ์กึ่งหนึ่งของสองสภารวมกัน แทนที่จะใช้บริการ 500 เสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง สภาเดียว ต้องบวกด้วย 250 เสียงของ “วุฒิสมาชิก” เกณฑ์กึ่งหนึ่งจาก 250 เสียง เพิ่มเป็น 376 เสียง

ขณะนี้ยังต้องลุ้นระทึก “พิธา 1” มีโอกาสบริโภคแห้ง เพราะขาดเสียงสนุนจาก ส.ว.อยู่ราว 60 เสียง โดยประมาณ

อย่างไรก็ตาม เมื่อ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งก่อนกำหนด และเข้าหลักเกณฑ์เกินร้อยละ 95 แล้ว “สภาผู้แทนราษฎร” ต้องดำเนินการตามกรอบ คือโหวตเลือกประธานสภา-รองประธานสภา มาทำหน้าที่ เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในลำดับต่อไป ตามไฟต์บังคับ

กับโค้งสุดท้าย ลุ้นกันมันหยดแน่ เพราะ 8 พรรคพันธมิตร ยืนกรานหนักแน่นดัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขึ้นลิฟต์ให้ได้

ข่าวคลุกวงในคาดเดาว่า ขั้วอนุรักษ์ หรือ “กลุ่มอำนาจเก่า” ที่พ่ายศึกอย่างย่อยยับ และพากันแปรสภาพเป็นเตี้ยอุ้มค่อม ผอมอุ้มอ้วน แขนด้วนอุ้มแขนดี แม้จะเป็น “เสียงข้างน้อย” 188 ที่นั่ง มี “มือดี” เดินเกม ดัน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ฟาสต์แทร็กลงชิงดำอีกครั้ง

โดยประเมินตัวเลขว่า เสียงข้างน้อยจากสภาล่าง 188 เสียง บวกกับ 220 ที่นั่งจากสภาสูง “ลุงตู่” ก็กำชัยเข้าป้ายสบายแฮ 408 เสียงจากสองสภารวมกัน

เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” ชนะหวิว เหนือ “พิธา” แล้ว ระหว่างที่ฟอร์มรัฐบาล-แบ่งปันกระทรวงกันอยู่นั้น จะเกิดสุญญากาศ ค่อยๆ ใช้พลังไฮเพาเวอร์ ไล่ล่าซื้อ ส.ส.จากฝั่ง 8 พันธมิตร ซึ่งเคยแสดงอนุภาพของการดูดให้ดูชม และประสบผลสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง

หมากกระดานนี้แม้เด็ดขาด และทรงพลัง แต่ “เสี่ยงมาก” การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 188 ที่นั่ง หากมอเตอร์ขับลมเครื่องดูดฝุ่นไม่ทำงาน เปิดสภาแถลงนโยบายปุ๊บ “เรือเอี้ยมจุ๊น” บุโรทั่ง ที่ชื่อ “รัฐนาวาตู่” ก็ย่อมชนตอม่อ อับปางกลางอ่าวโดยพลัน

ไม่มีชอยส์ให้เลือก นอกจาก “ต้องยุบสภา” เลือกตั้งใหม่สถานเดียว

พูดถึง “ยุบสภา” แล้ว “เลือกตั้งใหม่” ตอนนี้เชื่อว่า ทุกพรรคพากันร้อง “ไอ้หยา” หน้าตายิ่งกว่าเห็นผี หรือเหม็นขี้กันเป็นแถว ทั้ง “ภูมิใจไทย-พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ-ประชาธิปัตย์-ชาติไทยพัฒนา”

กับศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม หมดสนุกกันตามๆ ใส่เต็มข้อ ล่อเต็มแข้ง กระสุนหด-เสบียงหาย บางพรรคประสบชะตากรรมลำบาก “กลุ่มทุนชักดาบ”

สรุป โอกาสที่บางพรรคขั้วอำนาจเก่า จะตีไพ่หมอบมีความเป็นไปได้สูง