หยกและเส้นทางที่เรียวแคบ ของระบอบเผด็จการ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ทุกวันนี้ไปไหนก็มีแต่คนถามว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ได้เป็น

ซ้ำทุกคนที่ถามก็เชื่อว่าโอกาสที่ก้าวไกลจะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลเป็นแนวโน้มที่แทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ความจริงคือวี่แววที่พรรคอื่นตั้งรัฐบาลแทนก้าวไกลนั้นแทบไม่มี ว่าที่นายกฯ ที่ไม่ใช่พิธาเป็นไปไม่ได้ ส่วนรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่มีวันเกิดได้เลย

กรณีคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และหุ้นไอทีวีเป็นหลักฐานว่าคนของพรรครัฐบาลต้องการสกัดพิธา ถึงแม้หัวหน้าพรรคทจะบอกว่าไม่เกี่ยว แต่ไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองเกี่ยวเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว

ส่วนความเฮี้ยนของ ส.ว.ในการไม่เลือกพิธาก็เป็นหลักฐานว่าคนของรัฐบาลสกัดพิธาอีก ถึงคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จะบอกไม่เกี่ยวก็ตาม

อย่างไรก็ดี สภาพขบวนการยื่นคำร้องไอทีวีวันนี้เละเป็นโจ๊ก ไอทีวียืนยันว่ารายงานการประชุมไม่ได้ตั้งใจบอกว่าตัวเองเป็นสื่อ คนที่เกี่ยวข้องถูกตั้งคำถามว่าทำหลักฐานเท็จซึ่งจุดจบต้องติดคุก และแม้แต่นักร้องก็เลิกพูดเรื่องไอทีวีไปพูดเรื่องอื่นแล้ว แผนปั่นข่าวหุ้นไอทีวีจึงเหม็นเน่าจนใครรับลูกต่อก็มีแต่พังกับพัง

แม้ กกต.จะพิจารณาเล่นงานพิธาด้วยเรื่อง 151 ข้อหารู้ว่าไม่มีสิทธิเลือกตั้งแต่ดันสมัคร ส.ส. แต่เรื่องนี้เป็นคดีอาญาที่ต้องพิสูจน์ว่า “พิธา” รู้ตัวไอทีวีเป็นสื่อ รวมทั้งต้องผ่านกระบวนการ 3 ศาล ซึ่งใช้เวลานานจนไม่มีทางสกัดพิธาก่อนวันเลือกนายกฯ ได้สำเร็จเลย

พูดตรงๆ คดีนี้นึกไม่ออกจริงๆ ว่า กกต.จะเอาผิดพิธาอย่างไร ในเมื่อคำแถลงของบริษัทไอทีวีก็แถลงปฏิเสธหลักฐานที่คุณเรืองไกรใช้อ้างว่าไอทีวีเป็นสื่อ และถ้าลงบริษัทต้องมาชี้แจงว่าตัวเองเป็นสื่อหรือไม่เป็น พิธาซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกหุ้นแค่ 42,000 หุ้นจากทั้งหมดกว่า 600 ล้านหุ้น ย่อมไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้เลย

ทางเดียวที่จะสกัดพิธาคือ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 10 ให้ประธานสภายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพิธาขาดคุณสมบัติ ส.ส.

แต่เมื่อพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติล้วนได้ ส.ส.ไม่ถึง 50 จะทำแผนนี้ได้ก็ต้องให้สองพรรครวมหัวกันซึ่งจะทำให้คุณประยุทธ์และคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งแพ้เลือกตั้งอย่างย่อยยับทางการเมือง

ต่อให้มี ส.ส.หน้ามืดทำแบบนี้จริงๆ อย่างมากคือศาลรัฐธรรมนูญสั่งพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.แบบธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดน แต่การเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่เกี่ยวกับสถานะการเป็น ส.ส.

ผลก็คือ ถึงอย่างไรประธานสภาก็สามารถเสนอชื่อพิธาเข้าที่ประชุมสภาเพื่อโหวตชิงตำแหน่งนายกฯ ได้เหมือนที่เคยเกิดกับธนาธรอยู่ดี

 

อย่างเดียวที่จะเกิดขึ้นได้จึงได้แก่ ส.ว.ใช้เรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ปลุกระดมประชาชนนอกสภา และปั่นกระแส ส.ว.ด้วยกันว่าไม่ให้โหวตพิธาเป็นนายกฯ เลย

อย่างไรก็ดี ด้วยเงื่อนไขที่ข้อเท็จจริงพื้นฐานเรื่องไอทีวีเละเป็นโจ๊กทั้งในแง่กฎหมายและในแง่วัตถุพยาน หากขบวนการสกัดพิธาอ้างกรณีไอทีวีก็จะยิ่งพากันพังทั้งยวงจาก ส.ส.ถึง ส.ว.และ กกต. จนเผลอๆ จะลามไปถึงคุณประยุทธ์และทุกคนที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่คนที่สังคมเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังคุณประยุทธ์เอง

อาวุธที่เครือข่ายคุณประยุทธ์มีเหลือเพื่อสกัดพิธาคือปลุกม็อบด้วยข้อหาหลุดโลกแบบ กปปส. และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

แกนนำที่เคยปลุกระดมมวลชนและยั่วยุให้ทหารกำจัดคุณทักษิณ ชินวัตร, คุณสมัคร สุนทรเวช และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงกลับมามีบทบาทเต็มไปหมด ต่อให้จะมีคนฟังคนเหล่านี้น้อยจนช่วยคุณประยุทธ์ชนะเลือกตั้งไม่ได้ก็ตาม

รากฐานของขบวนการสกัดพิธาคือการโหนสถาบันเพื่อปลุกผีอนุรักษนิยมทางการเมือง สื่อที่เคยล้มล้างคุณทักษิณด้วยเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์และกำจัดคุณยิ่งลักษณ์ด้วยเรื่อง “แดงล้มเจ้า” จึงพากันปั่นกระแสว่าสหรัฐหนุนหลังพิธา หรือพรรคก้าวไกลเป็นแก๊งล้มเจ้า ต่อให้เรื่องทั้งหมดนี้จะไม่มีมูลเลย

แน่นอนว่าการปลุกปั่นแบบนี้เป็นสัญญาณการเมืองที่อันตราย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าวิธีปลุกปั่นแบบนี้เป็นกระสุนด้านที่ไม่มีโอกาสจุดติดเหมือนที่เคยทำสำเร็จในปี 2549, 2551 และ 2557 เมื่อคำนึงถึงความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างย่อยยับของไทยภักดีและรวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

“สลิ่ม” เคยหนุนพันธมิตรฯ และ กปปส.ล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งและสนับสนุนรัฐประหาร 2549 ติดต่อกันมากว่าสิบปี แต่วันนี้พื้นที่ซึ่งคนเหล่านี้เคยชนะเลือกตั้งอย่าง กทม., ภาคใต้ และภาคตะวันออก กลายเป็นพื้นที่ซึ่งก้าวไกลชนะและคะแนนบัญชีรายชื่อก้าวไกลถล่มทลายจนยากที่จะปลุกฝ่ายขวาจัดขึ้นมา

 

“หยก” ไม่ควรกลายเป็นเรื่องการเมือง แต่ “หยก” กำลังถูกเครือข่ายรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในบริบทนี้จนมั่วไปหมด

เพราะคนกลุ่มนี้สร้างกระแสว่าก้าวไกลอยู่เบื้องหลัง “หยก” แต่ก็โจมตีว่าก้าวไกลไม่ทำอะไรเพื่อช่วย “หยก” เช่นเดียวกับสาดโคลนว่า “หยก” คือสัญลักษณ์ของความเสื่อมทรามยุคก้าวไกล

หัวใจของขบวนการขวาจัดคือการปั่นกระแสว่าสังคมเสื่อมโทรมจนต้องมีใครสักคนทำอะไรที่เด็ดขาดเพื่อไม่ให้ทุกอย่างถดถอยลงไป

แต่ที่จริงคำว่า “เสื่อมโทรม” ขึ้นอยู่กับมุมมอง จะบอกว่าสังคมเสื่อมโทรมหรือไม่จึงผันแปรตามมุมมองว่าว่ามองจากไหน, มองแง่ไหน, มองจากใคร และมองจากอะไร

แกนเรื่องของหยกคือเด็กอายุ 15 สอบเข้าโรงเรียนได้ที่ 1 แต่โดนคดี 112 และโรงเรียนไม่ให้เรียนต่อช่วง 1 เดือนก่อนสอบหลังจากหยกต่อสู้เพื่อสิทธิเหนือร่างกายตัวเอง โดยแต่งชุดไปรเวตกับย้อมสีผมไปเรียน ถึงหยกจะทำทุกทางให้ได้เรียนขั้นปีนรั้วเข้าโรงเรียนโดยไม่สนใจว่าเสี่ยงจะโดนเหล็กแหลมทิ่มเป็นอันตราย

ตรงข้ามกับ “ผู้ใหญ่” ที่โจมตีว่าก้าวไกลยุจนหยกใจแตกและสังคมเสื่อมทราม

หยกให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังถูก “ผู้ใหญ่” ใส่ร้ายป้ายสีข้างเดียวกว่า 3 วันว่าสิ่งที่ทำคือ “การต่อสู้เชิงสัญญะ” เรื่อง “สิทธิเหนือร่างกายตัวเอง” กับ “สิทธิการศึกษาของเยาวชน” ซึ่งรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาระหว่างประเทศล้วนรับรอง

สำหรับ “ผู้ใหญ่” ที่คิดว่าเด็กคิดเองไม่ได้ การที่ “หยก” ต่อสู้คือผลจากการที่หยกถูกคนอื่นยุยงปลุกปั่นจนขาดสติ และสำหรับผู้ใหญ่ที่คิดว่าเด็กไม่มีสิทธิเหนือร่างกาย

การที่ “หยก” พูดและลงมือต่อสู้เรื่องเสรีภาพบนร่างกายคืออวสานของโลกในกะลาแบบที่ “ผู้ใหญ่” กลุ่มนี้เชื่อจนคิดว่าคนอื่นต้องเชื่อตาม

 

มักเข้าใจผิดว่าหยกต่อต้านชุดนักเรียนเพราะต้องการให้ยกเลิกเครื่องแบบนักเรียน แต่สิ่งที่หยกพูดจริงๆ คือเครื่องแบบเป็นเรื่องของการใช้อำนาจ ข้อเสนอหยกคือนักเรียนต้องมีส่วนร่วมตัดสินใจว่าจะใส่เครื่องแบบหรือไม่ใส่ ไม่ใช่มีแต่โรงเรียนเป็นฝ่ายกำหนด ซึ่งเป็นข้อเสนอที่เรียบง่ายจนไม่ควรมีปัญหาอะไรเลย

แนวคิดอนุรักษนิยมไม่เชื่อว่าคนเท่ากัน คนส่วนน้อยจึงต้องใช้อำนาจปกครองคนส่วนใหญ่ทุกสังคม โลกของอนุรักษนิยมคือโลกที่คนส่วนใหญ่คิดเองไม่ได้ มีความเป็นคนไม่เท่ากัน และหน้าที่ของมนุษย์คือการทำตามกฎเกณฑ์ที่สืบทอดกันเป็นประเพณีและความเชื่อ รวมทั้งทำตามผู้นำแบบทหารและเผด็จการ

“หยก” คือฝันร้ายที่กลายเป็นจริงของกลุ่มอนุรักษนิยมที่พบว่าโรงเรียนควบคุมเด็กไม่ได้ต่อไป และแม้แต่การใช้อำนาจบังคับเหนือสีผมและร่างกายก็ถูก “หยก” ปฏิเสธ

ผู้ใหญ่หลายคนจึงมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากคนเสียสติ ไล่หยกจากโรงเรียนที่หยกมีสิทธิเรียน กล่าวหาว่าหยกมีผู้ใหญ่ยุ หรือบอกว่าสิทธิเสรีภาพไม่สำคัญ

“ผู้ใหญ่” ที่โจมตีหยกมีทั้งรัฐมนตรี, กองเชียร์รัฐบาล และฝ่ายต่อต้านรัฐบาล มนุษย์ลุงและมนุษย์ป้าที่ใส่ร้ายว่าหยกถูกก้าวไกลยุ, มีเอ็นจีโอให้ท้าย, พูดไม่ชัดว่าต้องการอะไร ฯลฯ จึงมีเยอะไปหมด

ท่าทีต่อหยกจึงเป็นหลักฐานว่าซากความคิดอนุรักษนิยมฝังในผู้ใหญ่ฝ่ายประชาธิปไตยได้ไม่ต่างจากฝ่ายเผด็จการ

ประชาธิปไตยสมัยใหม่ลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจประชาชน รัฐในสังคมประชาธิปไตยจึงต้องลดอำนาจควบคุมประชาชน รวมทั้งบงการร่างกายประชาชนให้ต่ำที่สุด

การที่ “หยก” ต่อต้านการควบคุมจึงไม่ใช่ความเสื่อมทราม แต่คือการยืนยันว่าแต่ละคนมีเหตุผลที่จะเลือกว่าอะไรคือดีและเหมาะสมสำหรับตัวเอง

สำหรับผู้ใหญ่ที่สนับสนุนการควบคุมประชาชนจนหมั่นไส้หยกขั้นยุให้โรงเรียนไล่ออก ข้อควรตระหนักคือสีผมอยู่บนหัวของหยก มันจึงไม่หนักหัวคนอื่นหรือละเมิดสิทธิคนอื่น

แต่การเอาความไม่ชอบหยกไปตัดสิทธิในการเรียนของหยกคือการละเมิดสิทธิแน่ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการศึกษาหรือสิทธิในรัฐธรรมนูญ

 

“หยก” เป็นปรากฏการณ์ของคนในสังคมที่ตาสว่างต่อเนื่องจากม็อบราษฎรปี 2563 จนเลือกพรรคก้าวไกลถล่มทลายปี 2566

“หยก” คือสัญญาณเตือนผู้มีอำนาจว่าสังคมไทยเปลี่ยนแปลงเร็วและลึกระดับโรงเรียน การควบคุมประชาชนกำลังถูกท้าทาย ฝ่ายรัฐบาลจึงไม่มีใครพูดถึงหยกด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรเลย

สำหรับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่โจมตีหยกไม่ต่างจากรัฐบาล “หยก” คือคำเตือนว่าประชาธิปไตยมีมากกว่าการต้านประยุทธ์และการได้พรรคที่ตัวเองต้องการเป็นรัฐบาล ประชาธิปไตยคือระบอบที่วางอยู่บนหลักการเรื่องคนเท่ากัน, คนมีเหตุมีผล, รัฐต้องลดการควบคุมประชาชน และประชาชนมีสิทธิกำหนดชีวิตตนเอง

“หยก” คือแรงระเบิดของยุคสมัยที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่เอาเท้าพาดเก้าอี้แล้วโจมตีว่าหยกทำสีผมแล้วจะทำให้ทุกคนยกตีนใส่หน้ากัน รากฐานของระบบเผด็จการกำลังเรียวแคบจนการต่อต้านอำนาจลามสู่การต่อสู้ระดับจุลภาพของเด็กอายุ 15 เพื่อแต่งตัวโดยไม่ถูกบังคับ แต่ยืนยันสิทธิในการเข้าเรียน