ปลุกจาก ‘หม้อ’ ผีไอทีวี หลอน ‘ไม่ธรรมชาติ’

ขบวนการเตะสกัดไม่ให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เข้าทำเนียบรัฐบาล เดินเครื่องเต็มกำลังมาอย่างต่อเนื่อง

จนถึงวันนี้แทบไม่มีใครเชื่อแล้วว่ามาตรการทางกฎหมายที่ถูกนำมาใช้กับพิธาและพลพรรค เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นไปตามระบบตรวจสอบตามธรรมชาติของสังคมเสรีประชาธิปไตย

ตรงกันข้าม กลายเป็นเสียงที่พูดกันกระหึ่มเมือง ว่ามาตรการเหล่านั้นถูกใช้เป็นอาวุธรุมกระหน่ำโจมตีพิธา

เพราะโครงสร้างทางการเมืองที่ไม่แฟร์ ทำให้ผลผลิตของโครงสร้างเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ กติกาทางการเมือง กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มากกว่าจะเครื่องมือทางการเมืองภายใต้สังคมปกติ กติกาที่เป็นธรรม ยุติธรรมสำหรับผู้เล่นทุกฝ่าย

นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้งาน ผลทางการเมืองของมันจึงส่งผลให้เกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญ ออกฤทธิ์เดชตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง 2562 และหนักหนาสาหัสต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

 

การปรากฏขึ้นของคดีหุ้นสื่อไอทีวีกรณีล่าสุดก็เช่นกัน สะท้อนการพยายามเจาะยาง เตะสกัด ทำลายความชอบธรรมของ “พิธา” ไม่ให้ไปถึงฝั่งฝัน มีการจัดตั้งขึ้นในลักษณะเป็น “ขบวนการ” ชัดเจน

ฝ่ายอนุรักษนิยมไทย ประเมินผิด ไม่คิดว่าความนิยมของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล จะคว้าชัยชนะถล่มทลายถึง 14.4 ล้านเสียง รวมกับพรรคเพื่อไทยอีก 10.8 ล้านเสียง 2 พรรคฝ่ายค้านเดิมรวมกันมากกว่า 25 ล้านเสียง ทิ้งห่างพรรค 2 ลุง มรดกคณะรัฐประหาร 2557 แบบขาดลอย

แม้ผ่านมามากกว่า 1 เดือนที่ขั้วอำนาจเก่าจะยังไม่ยอมรับพ่ายแพ้ เนื่องจากยังหวังจะได้เห็นกลไกหลุมพราง-กับดักระเบิดทางการเมือง ที่วางไว้สกัดขั้วอำนาจใหม่จะทำงาน

หลังฟื้นจากอาการช็อก ฝ่ายอนุรักษนิยมไทยก็เปิดฉากยิงกระสุนปืนใหญ่ใส่พรรคก้าวไกล เริ่มตั้งแต่การเดินเกมถล่มด้วยวาทกรรมขวาจัดที่เคยใช้ได้ผลในอดีต อย่างเรื่องล้มล้างสถาบัน เรื่องมาตรา 112 การโจมตีว่าก้าวไกลจะเปิดให้สหรัฐเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองไทย เปรียบพิธาเป็นเซเลนสกีเมืองไทย เป็นผู้นำออเรนจ์การ์ด น่ากลัวคล้ายเรดการ์ดในการปฏิวัติจีน

ยิงปืนใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าใส่ก้าวไกล แต่ก็ยังไม่เข้าเป้า ไม่สามารถลดความชอบธรรมทางการเมืองได้สักนิด แถมกลับไปเพิ่มคะแนนสงสารให้อีก

ตัวแทนของวิธีคิดแบบอนุรักษนิยมไทยที่ออกมาพูดและผลิตซ้ำเรื่องนี้ วันนี้กลายเป็นมีมตลก ถูกนำไปล้อเลียน ล้อเล่น เสียดสีไปเฉย ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว

เมื่อการเลือกตั้งที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไทยเป็นผู้ออกแบบกติกาแท้ๆ ยังแพ้ในเกมของตัวเอง เกม 112 ล้มสถาบันที่พยายามจุดมาตลอดเดือนก็จุดไม่ขึ้นเท่าที่หวัง เกมประธานสภา-250 ส.ว. ก็ยังดีเลย์ ทำได้แค่เสี้ยมให้พลังฝ่ายเดียวกันแตกกัน

เกมหุ้นสื่อไอทีวีจึงเป็นกระสุนใหญ่นัดล่าสุดที่ขั้วอำนาจเก่าเลือกใช้ยิงถล่มก้าวไกล

 

เพราะเป็นเกมรูปแบบเดิมที่ฝ่ายอำนาจเก่าเคยใช้ได้ผลกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และอนาคตใหม่ เป็นการกำจัดคู่ต่อสู้ที่ผงาดขึ้นมาท้าทายอำนาจได้ด้วยอาวุธที่ถูกที่สุด แต่ทรงประสิทธิภาพที่สุด และดูเหมือนจะก่อให้เกิดความเสียหายน้อย

เกมนี้จึงถูกนำมาใช้อีกครั้งเพื่อหวังเขี่ยพิธาออกจากกระดานการเมือง ชงลูกจากนักร้องขาประจำเข้ามายัง กกต. เพื่อหวังส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญฟัน

จากข้อหามีหุ้นไอทีวี 4.2 หมื่นหุ้น คิดเป็น 0.0035% ในฐานะผู้จัดการมรดกจากพ่อที่เสียชีวิต

แม้จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะ ส.ส.มาแล้ว 1 สมัย แม้ไอทีวีจะเป็นสื่อที่ตายกลายเป็นซากไปแล้ว ไม่มีการออกอากาศมานานมากกว่า 16 ปี แม้จะเป็นเพียงผู้จัดการมรดก ไม่ใช่ถือหุ้นในนามส่วนตัว นักวิชาการกฎหมายและการเมืองจำนวนมากยืนยันว่าไม่ผิด แต่ก็เป็นที่น่ากังวลในคำตัดสิน หากยึดตามมาตรฐานองค์กรอิสระแบบไทยๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560

แต่แล้วหลักฐานสำคัญที่จะใช้ในการเอาผิดพิธา คือรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) กลับโป๊ะแตก

มีการเปิดเผยหลักฐานว่า รายงานการประชุมผู้ถือหุ้นที่มีการเซ็นรับรองออกมานั้น ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามหลักฐานคลิปวิดีโอการประชุม เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 นำมาเปิดเผยให้คนไทยทั้งประเทศได้ดูผ่านรายการข่าว 3 มิติ

หลักใหญ่ใจความอยู่ที่คำถามว่า ไอทีวียังดำเนินการเป็นสื่อมวลชนอยู่หรือไม่ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะชี้ถึงคุณสมบัติของพิธาในฐานะแคนดิเดตนายกฯ

ในคลิปวิดีโอการประชุม ประธานการประชุมตอบคำถามว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน”

แต่ในบันทึกรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวีกลับระบุว่า “ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินการกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ”

ต่อมา ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ขยายความเพิ่ม ทั้งหมดมีการวางแผนจะให้หนึ่งในผู้ถือหุ้นที่เพิ่งได้รับการโอนหุ้นไปตั้งคำถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี

เพื่อต้องการให้ผู้บริหารตอบว่า ไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่ใช่หรือไม่ ซ้ำยังมีการแก้เอกสารให้มีรายได้จากสื่อโฆษณา ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และมีการระบุรายได้ว่ามาจากการทำสื่อ ซึ่งขัดกับคำพูดของประธาน

ชัยธวัชย้ำว่า เอกสารการเงินทั้งหมดที่สร้างมาสะท้อนขบวนการทางการเมืองที่หวังผลใช้ไอทีวีเป็นเงื่อนไขสกัดพิธานั่งนายกฯ

 

การเปิดโปงขบวนการปลุกผีไอทีวี รอบนี้น่าสนใจ เพราะนักข่าวที่ออกมาส่งเสียงเรื่องนี้ ล้วนมีอดีตที่เจ็บช้ำจากการถูกกลั่นแกล้งแม้จะร่วมกันสร้างช่องนี้ขึ้นมา กระทั่งไล่ออกจากไอทีวีในช่วงวิกฤต พวกเขาเหล่านั้นจึงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินตรรกะไอทีวียังเป็นสื่อ มีสถานะดำเนินกิจการอยู่ เพื่อหวังใช้เล่นงานพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

“พวกผมเคยอยู่ไอทีวีมา หลายคนในที่นี้ยังเก็บหนังสือเลิกจ้างไว้อยู่เลย ซึ่งเขียนชัดเจนว่าสถานีหยุดทำงาน คือยุบไปเลย พนักงานถูกเลิกจ้างไปทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ไล่มาตั้งแต่กรรมการผู้จัดการ ไม่มีใครเป็นพนักงานบริษัทแล้ว ลองไปดูตอนนี้ว่ามีใครห้อยบัตรพนักงานไอทีวีไหม” กิตติ สิงหาปัด ระบุ

เช่นเดียวกับคลิปประชุมผู้ถือหุ้น แม้จะมีการลบไฟล์ แต่ก็มีหนึ่งในผู้ถือหุ้นบันทึกไว้และส่งให้ข่าวสามมิติ เพราะเห็นว่าไอทีวีที่สู้คดีมา 16 ปีกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

ทั้งหมดคือองคาพยพจากปฏิกิริยาโต้กลับขบวนการปลุกผีไอทีวี

 

ต้องยอมรับว่าขบวนการปลุกผีจากหม้อที่ถูกถ่วงน้ำไปแล้ว 16 ปี ให้มาหลอกหลอนพิธาและพรรคก้าวไกลครั้งนี้ไม่ธรรมดา เป็นขบวนการที่ใหญ่โต เพียบพร้อมด้วยนายทุนและอำนาจรัฐ ที่มีศักยภาพในการใช้ทุกเครื่องมือในการจัดการศัตรู ที่ผ่านมายังมีประวัติการใช้ทุกกระบวนการในการเล่นงานผู้ท้าทายอำนาจ

กรณีขบวนการปลุกผีไอทีวียิ่งชัด คนที่เป็นตัวแทนผู้ถือหุ้นไปตั้งคำถาม มีที่ไหนเพิ่งเรียนรู้เล่นหุ้น เพราะอยากรวย แต่ไปซื้อหุ้นนอกกระดาน ใครที่ไหนฟังเขาก็หัวเราะ

แต่ในแง่หนึ่งมันสะท้อนว่า ฝ่ายอำนาจเก่าใช้ทุกกระบวนท่า แม้แต่การสร้างบันทึกการประชุมปลอม สร้างบุคคล สร้างเรื่องราว หลักฐาน เพื่อใช้เล่นงานพิธา

ยังดีที่รอบนี้มีการเปิดเผยหลักฐานโต้กลับขบวนปลุกผีไอทีวีว่าไม่เป็นธรรมชาติ มีการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อใส่ร้าย ทำให้แทนที่ผีตนนี้จะไปเล่นงานเป้าหมาย กลับวนมาหลอกหลอนเล่นงานหมอผีผู้ที่เปิดหม้อ เข้าทำนอง ขว้างงูไม่พ้นคอ

อย่างไรก็ตาม รอดจากจุดนี้ พิธาก็ยังเจองานหนักอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นด่าน ม.151 พ.ร.ป.เลือกตั้ง และยังต้องเจอด่าน ส.ว. ที่เป็นอุปสรรคด่านใหญ่ไม่ให้พิธาไปถึงทำเนียบ

แต่การเจาะยางฝ่ายอำนาจใหม่รอบนี้จะไม่ซ้ำรอยปี 2562 อย่าลืมว่ารอบนี้ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศมีมติให้ฝ่ายค้านเดิมตั้งรัฐบาล และมีถึง 14.4 ล้านคนของผู้มาใช้สิทธิ์ โหวตให้พิธาเป็นนายกฯ

พิธาและก้าวไกล ขยับเขยื้อนทางการเมืองโดยยึดหลักความชอบธรรม หันหลังพิงประชาชนในการต่อสู้

ความนิยมในตัวพิธาเป็นอย่างไร ดูจากการไปลงพื้นที่ขอบคุณคะแนนเสียงของพิธาที่นนทบุรี ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ ดูก็ได้ว่าถล่มทลายแค่ไหน

รอบนี้ต่อให้พิธาไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะถูกกับดักระเบิดที่ขั้วอำนาจเก่าวางไว้จัดการ สะท้อนว่าพลังอนุรักษนิยมในการเมืองไทยยังแข็งแรง

แต่ในทางกลับกัน ความเสียใจ ผิดหวัง ความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ผู้นำที่ตนเองเลือกถูกสกัดขัดขวาง ที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นทางการเมืองจะยิ่งทวีคูณ

 

อันนี้ที่จริงบทเรียนการเมืองหลายปีที่ผ่านมาสะท้อนกว่ากระบวนการนิติสงครามที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไทยกระทำมาหลายครั้ง และเหมือนสำเร็จด้วยดี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะมันสร้างความโกรธแค้นสะสม ระเบิดพลังออกมาแล้วในการชุมนุมทางการเมืองปี 2563 กระทั่งการเลือกตั้ง 2566

นิติสงครามรอบนี้หากจะทำจริงก็คงทำสำเร็จ แต่จะต้องแลกด้วยความเสียหายที่สูงมาก มากจนประเมินมิได้ว่าแค่ไหน

ตอนนี้รู้ได้อย่างเดียว ถ้ามติมหาชนถูกขัดขวาง ความโกรธแค้นของประชาชนจะมหาศาลมาก มากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย