แพ้ไม่เป็น-เย็นไม่ได้ หรือจะ ‘จุดไฟในนาคร’ | เหยี่ยวถลาลม

ย้อนไปดูประวัติศาสตร์ ก่อนสังการหมู่เด็กนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่ชุมนุมอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเช้าตรู่วันที่ 6 ตุลาคม 2519

ก่อนหน้านั้น ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ (ศนท.) ชักชวนกันชุมนุมต่อต้านและขับไล่ฐานทัพอเมริกาให้ออกจากประเทศไทย (สมัยนี้น่าจะถูกใจสลิ่ม) ในขณะที่ศูนย์นักเรียนอาชีวะฯ ประกาศต่อต้านการเคลื่อนไหวของ “ศนท.” พร้อมท้าชน มีการแจกใบปลิวโจมตีนิสิตนักศึกษาถึงขั้นว่า “…อย่าให้พวกจัญไรครองเมือง ปวงประชาจะล้มตาย ความฉิบหายจะเข้ามา”

ต่อต้านฐานทัพอเมริกากลายเป็นคนจัญไร!

สมัยนั้นรัฐทหารวาดภาพ “คอมมิวนิสต์” ให้เหมือนภูตผีปีศาจจนกลัวขี้ขึ้นสมอง ว่าทำลายชาติ ศาสนา กษัตริย์ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เผาวัด ฆ่าพระ เป็นพวกชั่วช้าเลวทราม

คอมมิวนิสต์จีนปกครองประเทศตั้งแต่ ค.ศ.1949 มีใครฆ่าพ่อฆ่าแม่ หรืออกตัญญูบรรพบุรุษ!?

ทำนองเดียวกับสมัยนี้ มือที่ขี้ขลาดจุดไฟให้คนกลัว “ประชาธิปไตย”!

พฤติกรรมยังเหมือนเดิมคือ ประดิษฐ์วาทกรรมทำลาย ยุให้แตก สร้างความเกลียดชังด้วยมุขเก่าๆ ทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่เคารพนับถือพ่อแม่ อกตัญญู ไม่รู้ประเพณีวัฒนธรรม

น่าสงสัยจริงๆ จะเอายังไงกันแน่ สมัยก่อนว่า “คอมมิวนิสต์” ไม่มีศีลธรรม ทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มาตอนนี้ ใครฝักใฝ่ “ประชาธิปไตย” ไม่นิยมรัฐประหาร ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของรัฐเผด็จการ กลายเป็น “คนชังชาติ” และ “ล้มเจ้า”

ย้อนกลับไปดู “การจุดไฟ” ก่อนเกิดเหตุ 6 ตุลาคม 2519 อีกทีเพื่อจะได้ไหวตัวในอนาคต

 

ใน “สงครามเวียดนาม : สงครามความจริงกับรัฐไทย” อาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ ได้ปอกเปลือกประวัติศาสตร์ในห้วงเวลานั้นเอาไว้อีกด้วยว่า นายอุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา หัวหน้าสถานีวิทยุยานเกราะ กล่าวถึงยุทธศาสตร์เวียดนามที่จะเข้ายึดครองไทยว่า “…ผมเห็นว่าไอ้พวกนิสิตนักศึกษาที่เป็นพวกขายชาติขายแผ่นดินนั้น มันมีอยู่ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของนิสิตนักศึกษาทั้งหมด พวกนี้ผมไม่ห่วงครับ เลือดก้อนเดียวเราตัดให้หมากินได้”

สำนวนโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนั้น!

ในคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2519 เด็กๆ นักเรียนนิสิตนักศึกษาและผู้ชุมนุมอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คิดเพียงต่อต้านการกลับมาของ”ถนอม กิตติขจร” คิดไปไม่ถึงว่าการแสดงละครเวทีที่หยิบเอาเหตุการณ์ 2 ช่างไฟฟ้านครปฐมที่ถูกจับผูกคอเสียชีวิต มาเรียกร้องถามหาความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรม จะถูกถ่ายภาพแล้วนำไปตัดต่อแต่งเติมบิดเบือนเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ไม่เคยคิดมาก่อนว่า สถานีวิทยุทหารยานเกราะ จะนำเอาสถาบันกษัตริย์มาปลุกระดมให้ประชาชนเข้าใจผิด โกรธเกลียดกันจนถึงขั้นบ้าคลั่ง เคลื่อนพลเข้าปิดล้อมแล้วบุกเข้ารุมเข่นฆ่านิสิตนักศึกษาที่เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของตัวเองอย่างทารุณป่าเถื่อนกลางวันแสกๆ ในมหาวิทยาลัย ในกลางกรุง

จึงต้องจดจำว่า การล้อมปราบนิสิตนักศึกษากับประชาชนที่รักความถูกต้องและเป็นธรรม ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้นมีการวางแผนปูทางมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ก่อนลงมือสังหารหมู่ “อุทาร สนิทวงศ์ฯ” ยังคงใช้วาทกรรม “ญวนยึดธรรมศาสตร์” เพื่อโหมไฟความเกลียดชังให้ถึงขีดสุด

ยุคนั้นเลือกหยิบเอาภัยจาก “คอมมิวนิสต์” และเวียดนาม มาผสมกับการใช้ “สถาบัน” ปลุกระดมทำลายฝ่ายตรงข้าม

มาถึงยุคนี้ เลือกหยิบเอา “เสรีประชาธิปไตย” และอเมริกา มาผสมกับ “ล้มเจ้า” ปลุกระดมทำลายฝ่ายตรงข้าม

 

จะว่าไปแล้ว การเมืองไทยก็ไม่ได้มีความสลับซับซ้อน

วันนี้ ถ้าอ่านจากปรากฏการณ์เลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่า “คนส่วนใหญ่” เข้าใจและ “ตาสว่าง”!

นักเลือกตั้งจำนวนหนึ่งรู้อยู่เต็มหัวอกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ใช้เงินซื้อเสียงมโหฬาร แต่เจ็บหนัก แม้จะมีบางคนฝ่าด่านเข้าวินมาได้ แต่สามารถพูดได้เลยว่า ผู้ได้รับเลือกเป็น ส.ส. “ส่วนมาก” ไม่ได้ใช้เงินซื้อเสียง

ฝ่ายหนึ่งใช้สมอง สติปัญญา ศึกษาค้นหา “ทุกข์” กับ “ความต้องการ” ของประชาชน แล้วนำเสนอ “นโยบาย” ซึ่งนับเป็น “มิติใหม่” ทางการเมืองไทยจนผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินพากัน “ได้กลิ่นความเจริญ”

เช่นนั้นแล้วทำไมหลังเลือกตั้งเสร็จแล้ว การเมืองไทยยังไม่ราบรื่นลื่นไหล!

ถ้าจะกล่าวอย่างสุภาพก็ว่า “อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน” ขลุกขลักบ้างเป็นธรรมดา

แต่หากให้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมแล้วละก็ ต้องว่า

การเมืองไทยยังไม่ได้สู่เขตพื้นที่ “อารยะ”!

 

คิดจากตัวเลขง่ายๆ

เสียงข้างมากกว่า 25 ล้าน แสดง “เจตจำนง” แจ้งชัดให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ได้ลองบริหารประเทศดูสัก 4 ปี การจัดตั้งรัฐบาลและเลือกนายกรัฐมนตรีก็ควรดำเนินไปตามครรลอง เพื่อสร้างบรรทัดฐานเป็นประเทศที่มีอารยธรรมทางการเมือง “มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจบริหารโดยสันติ”

ส่วนเสียงข้างน้อยกว่า 5 ล้าน ที่เลือกพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมสุดขั้วนั้นก็ให้ “รอไปก่อน”

แต่เชื่อหรือไม่ว่า “ทนกันไม่ได้”!

“ทำใจไม่ได้” แม้แต่จะเอ่ยคำ “ยินดี” ที่ฝ่ายหนึ่งได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง

มีแต่ปฏิกิริยาแปลกๆ จากบริวาร “อำนาจเก่า”

บัตรเลือกตั้งเสียมากถึง 3 ล้านใบ ทำไมมีแต่บัตรของคนที่กา “ก้าวไกล” กับ “เพื่อไทย” เป็นส่วนใหญ่

เริ่มโยนฟืนก่อกองไฟ จุดชนวนความขัดแย้ง อยากจะให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ อยากล้มกระดานด้วย “รัฐบาลแห่งชาติ” อยากให้สรรหา “นายกฯ คนนอก”

ส่วนนักร้องก็ร่อนร้อง ส่งไม้ต่ออย่างเข้าขากับ “ส.ว.ขาประจำ” สกัดกั้น “นายกรัฐมนตรี” ที่จะได้มาจาก “เจตจำนงของประชาชน”

ให้ระวังกันว่า ในบ้านเมืองที่ “เจตจำนงประชาชน” ไม่อยู่ในสายตาของ “ผู้มีอำนาจ” หรือ “ผู้ที่เข้มแข็งกว่า” นั้น เรื่องราวอันพิสดารพันลึกหรือกระทั่งถึงขั้น “ป่าเถื่อน” ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

ดูอย่างดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ที่เมื่อปี 2517 เราเริ่มปักธงกันลงในรัฐธรรมนูญว่า จะต้องมาจาก “การเลือกตั้ง” เท่านั้น มาถึงวันนี้ ปี พ.ศ.2566

การเมืองไทยย้อนยุคถอยหลังไปได้ถึง “49 ปี”

“นายกรัฐมนตรี” ที่มาจากการเลือกของประชาชน เกิดได้ยากจริงๆ!?!!!